ARTWORKS ARTISTS BOOKS EXHIBITION BLOG
Talk with Artist

ร่องรอยของความสงบ และความสันโดษที่สร้างพลังใจ นำไปสู่การทบทวนจิตใจภายในด้วยสีดำ

Talk with Artist

ร่องรอยของความสงบ และความสันโดษที่สร้างพลังใจ นำไปสู่การทบทวนจิตใจภายในด้วยสีดำ


สำหรับนิทรรศการ TRACES OF SOLITUDE ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือว่าเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่าง สิทธิธรรม โรหิตะสุข กับ XSPACE Gallery ในนิทรรศการนี้เลือกใช้สีดำเป็นหลัก สีดำถูกนำมาตีความหมายไปอย่างกว้างขวาง แต่ยังคงแสดงออกถึงร่องรอยของความโดดเดี่ยว เป็นการเดินทางเข้าไปสู่การสำรวจ ทบทวนตัวเอง พร้อมด้วยการบอกเล่าเรื่องของการสร้างพลังงานภายในจิตใจด้วยการใช้สีดำ


แนะนำตัวและเล่าถึงที่มาในการเริ่มต้นทำงานศิลปะ

ผมเป็นอาจารย์ประจำที่สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นอกจากสอนและทำงานวิชาการด้านศิลปะแล้วผมทำงานศิลปะมาโดยตลอด ถ้าย้อนไปในอดีต งานศิลปะที่ผมทำค่อนข้างจะใช้สื่อที่หลากหลาย ทั้งงานจิตรกรรมแบบ Expression ศิลปะภาพถ่ายและติดตั้งจัดวาง รวมถึงงาน Collage และ Photo Montage (ภาพตัดต่อ)

แต่ช่วงตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ผมเริ่มทุ่มเทให้กับงานจิตรกรรมนามธรรมและกึ่งนามธรรมอย่างจริงจัง ผนวกกับช่วงปี 2554 ผมไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ ก็เครียดนะครับ เพราะปริญญาตรีกับโท เราเรียนศิลปะมาโดยตลอด แต่ก็รู้สึกว่าเราอยากรู้ก็เลยไปเรียนทางนี้ การเรียนประวัติศาสตร์มันต้องอ่าน ต้องซีเรียสกับหลักฐานประเภทต่างๆ มันเหมือนผมอยากจะระบายออกบ้าง ช่วงนั้นนอกจากเรียนแล้วผมหันกลับมาทำงานจิตรกรรมนามธรรม มันเป็นการแสดงออกเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก ใช้สีสันที่สดๆบีบสีจากหลอดโดยตรง ได้แรงบันดาลใจมาจากดนตรีแจ๊สที่ผมชอบ ผมก็แทนตัวเองว่าเป็นเสมือนนักดนตรีแจ๊สคนหนึ่งที่กำลัง Improvise ท่วงทำนองอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจากดนตรีมาเป็นสีสันบนผ้าใบ แล้วก็นำผลงานในช่วงนั้นไปจัดแสดงกลุ่มกับอาจารย์อีก 2 ท่านในปี 2562

พอปี 2563 ผมแสดงนิทรรศการเดี่ยวชื่อ IMPROVIBRATION ตอนนั้นก็ยังใช้แรงบันดาลใจจากการ Improvise ซึ่งผมทำขึ้นเพื่อขอบพระคุณแก่ครูของผมคือศาสตราจารย์พิเศษอารี สุทธิพันธุ์ (ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ปี 2555) ท่านสอนให้ผมมีความสุขกับการระบายสีและการศึกษาด้านศิลปะ ท่านเคยนำคำว่า COLOR – LIGHT – WOMAN – SPACE มารวมกันเป็น COLLIWOSPA ผมก็เลยทำแบบท่านบ้าง เอาคำว่า IMPROVISE – VIBRATION มาผนวกรวมกันเป็น IMPROVIBRATION มันก็อธิบายถึงงานจิตรกรรมนามธรรมของผมได้อย่างดี 

ตอนนั้นยอมรับว่าเน้นการระบายออก แสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกแบบพวก Abstract Expressionist งานมีรูปแบบกระจัดกระจายมาก เปลี่ยนไปเรื่อย ทดลองไปเรื่อย แต่นิทรรศการในช่วงปี 2562-2563 ก็ทำให้ผมเรียนรู้บทเรียนหลายอย่างกับตัวเอง ที่สำคัญมันคือเครื่องยืนยันว่า ผมกลับมาทำงานศิลปะอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เป็นความตั้งใจในชีวิตของเรา ก่อนหน้านี้เราอาจหายหน้าหายตาไปจากการแสดงงานนิทรรศการของตนเองสิบกว่าปี แต่ตั้งแต่ปี 2562 เรากำลังจะบอกกับตัวเองและคนอื่นๆว่าเรากลับมาแล้วและเราจะทำงานศิลปะที่เรารัก  



เล่าถึงนิทรรศการครั้งใหม่ กับ XSPACE

 ช่วงที่ผมแสดงงาน IMPROVIBRATION พอเปิดงานไปได้อาทิตย์เดียวคุณพ่อผมก็เสีย จริงๆคุณพ่อก็อายุมากแล้วนะครับ ป่วยมาประมาณ 4 ปีกว่าๆ ด้านหนึ่งคือความสูญเสียคนที่เรารัก แต่อีกด้านหนึ่งก็คือความจริงที่เรายอมรับได้ ผมเริ่มลองอ่านหนังสือบางเล่มที่ไม่เคยคิดว่าจะอ่าน เล่มหนึ่งคือ SILENCE IN THE AGE OF NOISE ของ ERRING KAGGE อ่านแล้วก็รู้สึกว่าความเงียบนี่มันมีด้านที่สร้างพลังบวกให้กับชีวิตได้เยอะแยะเลย ชีวิตการทำงานของเรามันวุ่นวายอยู่ตลอด พอมาเจอความสูญเสีย มาอ่านหนังสือ และตอนนั้นก็มีปัญหาเข้ามาหลายเรื่อง ก็ยิ่งรู้สึกว่าบางช่วงเวลาเราต้องการความเงียบสงบ ความเงียบแบบที่ไม่จำเป็นต้องตัดตัวเองออกไปจากสังคม แต่เป็นช่วงเงียบ Moment หนึ่งที่เราจะใช้ในการทบทวน สำรวจสภาพจิตใจของเรา 

แล้วก็ลองอ่าน WALDEN ของ HENRY DAVID THOREAU ซึ่งเขียนไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก็รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไปสร้างกระท่อมอยู่ในป่าแบบเขาก็ได้ แต่มันมีแง่มุมให้เราสังเกต ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต จนตามมาอ่านหนังสืออย่าง THE ART OF SOLITUDE ของ STEVEN BATCHALOR ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหาเวลาอยู่ลำพังบ้าง มันไม่ใช่ต้องเป็นด้านลบ มันเป็นด้านบวกได้ การที่คนเรามีเวลาอยู่กับความสงบ ความสันโดษ มันทำให้เกิดการทบทวน การสำรวจ การขัดเกลา หรือการทำความเข้าใจกับปัญหาหลายอย่างในชีวิต มันอาจแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก

แต่พอจะทำความเข้าใจกับมันได้ และผมอ่านข้อมูลของพวกศิลปิน Abstract โดยเฉพาะในฝั่งยุโรป ก็เกิดสนใจงานของ PIERRE SOULAGES ขึ้นมา ผมทำงานใช้สีสันเยอะมาก แต่ SOULAGES ใช้สีดำเป็นหลัก ช่วงแรกๆชอบมากนะ แต่ยังไม่ได้ดูอะไรละเอียดมาก แต่พอช่วงที่อ่านหนังสืออย่างที่เล่ามานี่ ก็กลับไปดูงานเขาอย่างจริงจังเลย อ่านบทสัมภาษณ์ ดูคลิปสัมภาษณ์ หรือเบื้องหลังการทำงานใน Youtube ใน Web ต่างๆ มีประโยคหนึ่งที่ชอบมาก เค้าบอกว่า “Black is never the same, because light changes it” อันนี้ทำให้เข้าใจเลยว่า ที่เขาใช้สีดำในงาน เขาไม่ได้ต้องการสื่อถึงสีดำเป็นหลัก แต่ใช้สีดำนั้นเป็นเครื่องสะท้อนไปสู่ความสัมพันธ์ที่มันมีต่อแสง ต่อการสะท้อน ส่วนตัวผมว่า มันเปลี่ยนความคิดผมนะ จากเดิมที่เราคิดว่า Abstract เป็นแต่เพียงเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่งานของ SOULAGES มันพาไปได้มากกว่านั้น 



จากตรงนี้ ผมเลยเริ่มลองใช้สีดำเข้ามามีบทบาทในงานมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยน Direction เปลี่ยนโฉมไปเลย จนได้นำไปจัดแสดงในนิทรรศการเดี่ยว BROKEN SILENCE REMINISCENCE ในปลายปี 2564 งานชุดนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดี เริ่มมีทิศทางในการทำงานมากขึ้น ที่สำคัญคือมันตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่ในใจเรามากขึ้นด้วย หลังงานชุดนั้นผมก็ยังแสวงหาความเป็นไปได้ให้กับทิศทางนี้อยู่เรื่อยๆ มันกลายมาเป็นความต่อเนื่องถึงนิทรรศการ TRACES OF SOLITUDE ที่จะแสดงกับ XSPACE ในครั้งนี้ เรายังอยากสะท้อนถึงความสันโดษ ความเงียบในแง่เชิงบวกอยู่ แม้มันจะเป็นงานนามธรรมและกึ่งนามธรรม แต่ก็หวังให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมหันมาใช้เวลา แม้เพียงนิดเดียว ในการทบทวนหรือสำรวจสภาพภายในจิตใจของตนเอง เหมือนเป็นการเดินทางข้างใน



นิทรรศการในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนในแง่ใด

TRACES OF SOLITUDE แตกต่างจากผลงาน Abstract ในชุดแรกๆที่ใช้สีสันสดๆดิบๆของผมในช่วงปี 2562-2563 ถ้าเป็นหนังสือหรือหนัง มันก็เสมือนเป็นภาคต่อหรือก้าวต่อมาของงานชุด BROKEN SILENCE REMINISCENCE สีดำยังคงมีบทบาทอยู่มากแต่ก็มีสีอื่นมาผสมผสานด้วย เพราะ SOLITUDE สำหรับผม มันเป็นเชิงบวก มันเป็นความโดดเดี่ยวที่นำพาเราไปสู่การพัฒนาชีวิต สร้างพลัง สร้างแรงใจ เป็น Moment ที่เราจะทบทวน สำรวจ แสวงหาคุณค่าความหมายให้กับชีวิต เข้าใจกับความเศร้า ความเจ็บปวด เห็นคุณค่าของการระลึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะฉะนั้นแม้จะสนใจในสีดำ หรือวิธีคิดในการทำงานของ SOULAGES แต่ผมก็พยายามไม่ยึดติดอยู่แค่นั้น ก็พยายามใช้สีอื่นๆในงานเข้ามา ให้มันพาเราไปด้วยและก็หวังให้มันชวนผู้ชมของเราเดินทางไปด้วย

สิ่งอื่นที่ทำให้งานนี้แตกต่างจากงานปี 2564 คือการพยายามแสวงหาความเป็นไปได้มันหลากหลายขึ้น มีรูปแบบที่เราเคยอยากลองในตอนนั้น แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลาหรืออะไรก็มาสร้างในงานชุดนี้ งานบางชิ้นมันท้าทายมากสำหรับผม ผมว่าคนทำงานจิตรกรรมคงเป็นเหมือนกัน บางครั้งมันแอบยึดติดความลงตัว ความ Balance อะไรบางอย่าง คือติดว่ามันต้องสวยหน่อย กลัวคนไม่ชอบ กลัวคนไม่ยอมรับ หรือกลัวคนไม่ซื้อ ผมก็มีความรู้สึกพวกนี้นะ แต่ก็ต้องพยายามเอาชนะมันบ้าง บางชิ้นทำตอนแรกมันเกิดจากความอยากแสวงหา อยากลอง แต่พอออกมาแล้ว เฮ้ย! มันขัดใจนิดๆมันแปร่งๆ ถ้าจะกลบลบทับไปเลยก็ทำได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้น ก็คิดแล้วว่ามันจะต้องวนๆซ้ำๆอย่างแน่นอน สุดท้ายผมลองรอคอยหน่อย ใช้เวลากับมันหน่อย ทิ้งระยะให้เราเริ่มคุ้นเคยกับมัน ช่วงแรกๆมันแปลกหน้ากับเรา แต่พอใช้เวลาสักระยะ ถ้าเป็นหนังสือก็อ่านสนุกขึ้นเรื่อยๆ แรกๆยังงงๆ แต่ต่อมาอ่านแล้วเริ่มวางไม่ลง อันนี้หมายถึงผมคนเดียวนะครับ ผู้ชมก็คงขึ้นอยู่กับความรู้สึก ประสบการณ์ทางสุนทรียะของแต่ละคน

 

ช่วยเล่าถึงคุณสมบัติของสีเข้มในนิทรรศการครั้งนี้

สีดำในงานของผม บางครั้งหากเปรียบเป็นตัวละคร มันก็เป็นตัวละครหลัก เป็นตัวผลักดันให้ส่วนอื่นๆ ทำงานกับความรู้สึกของผู้ชม แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่ตัวหลักนะ มันเล่นคนเดียวไม่ได้ มันต้องมีแสง มีมุมสะท้อน มีช่วงเวลาบางช่วงที่แสงจะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง แสงในแกลเลอรี่อาจจะสร้างภาพลักษณ์ สร้าง Character ให้กับงานแบบหนึ่ง แต่ถ้าย้ายมุมติด เปลี่ยนสภาพแสง หรือมี Character ของ Light หรือ Architecture ที่หลากหลายออกไป งานก็จะมี Movement ที่แตกต่างกันออกไป ผมคิดว่ามันท้าทายทั้งตัวผมและตัวผู้ชม มันจะมี Between the line ให้เราได้อ่าน ได้คิด ได้ตีความ บางวันอาจจะแปร่งๆงงๆ บางวันก็อาจจะดูได้ไม่มีเบื่อ ก็แล้วแต่ครับ สีดำที่ใช้ ยังผสมหลากหลายที่มาด้วยครับ ทั้งสีน้ำมัน สีอะครีลิค Tar (ยางมะตอย) ซึ่งแต่ละชนิดก็มี Character ที่ต่างกันออกไป  



มีนัยยะหรือสัญญะอะไรบางอย่างผสมอยู่ด้วยไหม

ตลอดเวลาที่ผมทำงาน Abstract มันไม่มี Story อะไร ผมคิดเสมอว่างานแต่ละชิ้น ก็เสมือนเป็นประตูแต่ละบาน ประตูบางบานถ้าเรามองแล้ว ไม่มีพลังดึงดูดมากพอก็ผ่านเลยไป แต่หากบานไหนมีสี มี Movement มีจังหวะของรอยแปรง หรือ Texture ที่ดึงดูดเราให้เปิดเข้าไป มันก็จะพาเราเดินทางไปในจินตนาการ ไปในโลกของการอ่าน การตีความ ความเพลิดเพลิน ความสุข ความเศร้า ความดื่มด่ำ งานแต่ละชิ้นแต่ละคนก็มองต่างกัน มีประสบการณ์ทางสุนทรียะที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป รูปทรงกึ่งนามธรรมที่ผมเลือกใช้ในงานก็มาจากความทรงจำ ความประทับใจ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร บางชิ้นระบายเยอะ Texture เยอะ บางชิ้นระบายน้อย เรียบๆ แต่โดยรวมแล้วคือการเชิญชวนให้ผู้ชม “ออกเดินทางไปข้างใน”

 

งานนิทรรศการครั้งนี้จะสะท้อนหรือให้แรงบันดาลใจให้ผู้ชมไหม

นั่นคือสิ่งที่ตั้งใจเลยครับ เวลาผมทำงานมันเหมือนผมสนทนากับงานแต่ละชิ้นอยู่ตลอด - ทำ ทดลอง แสวงหา เผชิญหน้า แก้ไข รอคอย ปรับโน่น เปลี่ยนนี่ – เบื้องต้นผมมีแรงบันดาลใจและพอลงมือทำ งานแต่ละชิ้นก็ส่งแรงบันดาลใจในด้านกลับให้กับผม ผมหวังว่า ผลงานในนิทรรศการ TRACES OF SOLITUDE จะสะท้อนหรือส่งแรงบันดาลใจ เป็นประตูอีกบานที่เปิดและชักชวนให้ผู้ชมได้เดินทางเข้าไปสำรวจและทบทวนโลกของสภาวะภายในจิตใจ แสวงหาสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายในชีวิตครับ


แล้วพบกับนิทรรศการ TRACES OF SOLITUDE นิทรรศการเดี่ยวโดย สิทธิธรรม โรหิตะสุข ได้ที่ Mini Xspace Gallery เร็ว ๆ นี้


ขอขอบคุณ

เรื่อง : XSPACE Gallery

ภาพ : สิทธิธรรม โรหิตตะสุข

 

 

















More to explore