Talk with Artist
o-d-a นักสร้างบทสนทนาระหว่างวัฒนธรรมด้วยงานออกแบบ
o-d-a (object design alliance) คือกลุ่มดีไซเนอร์ดาวรุ่งชาวไทย ผู้อาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ ประกอบด้วยสมาชิกสองคนอย่าง จุฑามาส บูรณะเจตน์ (ท้อ) และ ปิติ อัมระรงค์ (ดุ๋ย) ทั้งคู่จบการศึกษาจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นเจ้าของหลากรางวัลทางการออกแบบในระดับสากล
พวกเขาร่วมงานกับ Xspace ด้วยการตีความผลงานเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นของแบรนด์ WURKON อย่าง WING เก้าอี้อเนกประสงค์อันเปี่ยมสไตล์ จากแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำของสเปน ออกมาเป็นผลงานสร้างสรรค์รูปแบบใหม่อันน่าตื่นตาในผลงานชุด BANGKOK JOURNEY READYMADE
ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางของเก้าอี้จากยุโรปเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย จากการที่สเปนเป็นประเทศที่มีพื้นเพทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมใกล้เคียงกับประเทศไทย ทำให้เก้าอี้ตัวนี้สามารถปรับตัวให้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแบบไทยๆ เข้าใจความสบายๆ และการจัดการกับปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบของคนไทยได้อย่างกลมกลืน
ผลงานชุด BANGKOK JOURNEY READYMADE ของพวกเขา เป็นหนึ่งในนิทรรศการ Xspace The Xhibition ที่จะจัดขึ้นในงานเปิดตัว XSPACE Art Gallery ในครั้งนี้อีกด้วย
เรามาทำความรู้จักกับตัวตนและความคิดในการทำงานและผลงานของเขาที่ผ่านมาๆ เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะเข้าไปชมผลงานของเขาใน XSPACE Gallery กันเถอะ
Xspace:
แรกเลย o-d-a ย่อมาจากอะไร?
จุฑามาส:
o-d-a ย่อมาจาก object Design Alliance ค่ะ ชื่อนี้เป็นเหมือนการบ่งบอกว่าเราสนใจในการออกแบบ object (วัตถุ) ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
Xspace:
o-d-a มีจุดเริ่มต้นมาได้ยังไง
จุฑามาส:
เริ่มต้นจากการที่เราเรียนจบจากที่เดียวกัน คือคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ปิติ:
ผมเรียนกราฟฟิกดีไซน์ (ออกแบบนิเทศศิลป์) ส่วนจุฑามาสเรียนโปรดักต์ดีไซน์ (ออกแบบผลิตภัณฑ์) แล้วในยุคนั้นมีบรรยากาศที่งานโปรดักต์มีอิทธิพลมาก ทั้งในบรรยากาศของงานดีไซน์โลก และในบ้านเรา เราก็เลยสนุกกับการลองทำงานออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมา
พอจบมาแล้วเรารู้สึกว่ายังอยากทำงานด้วยกันต่อ ก็เลยทำลองร่วมกันทำโปรเจ็กต์อะไรสักอย่าง ในช่วงแรกๆ งานก็จะมีปนๆ กันระหว่างความเป็นโปรดักต์ดีไซน์กับกราฟฟิกดีไซน์ แต่ว่าช่วงหลังๆ งานจะออกมาเป็นโปรดักต์ดีไซน์ เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เยอะขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นงานชิ้นเล็กๆ
Xspace:
แล้วขยับมาทำงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ได้ยังไง
จุฑามาส:
น่าจะเป็นการที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมกับการประกวด ย้อนกลับไปสัก 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมีงานประกวดออกแบบเฟอร์นิเจอร์อยู่หลายงานเหมือนกัน เราก็เลยใช้โอกาสตรงนี้ในการออกแบบงานเฟอร์นิเจอร์ส่งประกวด และเข้าร่วมโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์กับกรมส่งเสริมการส่งออก (กระทรวงพาณิชย์) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักออกแบบเข้าไปทำงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ และมีโรงงานมาสนับสนุนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้ขึ้นมาจริงๆ ต่างกับตอนที่เราเรียนอยู่ที่ทำแต่งานต้นแบบ
Xspace:
เรียกว่าได้ลงสนามจริงเลย
จุฑามาส:
ใช่ค่ะ ก็ค่อยๆ ทำมาสองทาง เข้าร่วมโครงการฯ ด้วย ส่งงานประกวดด้วย สลับกันไปกันมา
ปิติ:
จริงๆ ก็เหมือนเราทำงานไปตามจังหวะ ว่าช่วงนั้นเรามีโอกาสที่จะพัฒนา ทดลอง หรือเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการอะไรที่เราสามารถเข้าร่วมได้ เริ่มจากของเล็กๆ ค่อยๆ ขยับไปเป็นเฟอร์นิเจอร์ ก็ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ เพราะว่าก่อนหน้านี้เราก็ต้องทำงานประจำอยู่ด้วยเหมือนกัน
Xspace:
หมายถึงทำงานประจำที่บริษัทดีไซน์?
ปิติ:
ใช่ครับ อย่างผมเองก็เคยทำงานประจำอยู่บริษัทกราฟฟิกดีไซน์
จุฑามาส:
ส่วนท้อทำอยู่ที่บริษัท บริษัท คัลเลอร์ ปาร์ตี้ ออบเจ็คท์ จำกัด แต่ระยะเวลาของการอยู่ออฟฟิศค่อนข้างสั้น คือทำงานประจำแค่ปีเดียว แล้วก็ออกมาเป็นฟรีแลนซ์เลย รับงานอื่นๆ เรื่อยๆ ส่วน o-d-a เรากันไว้เป็นพื้นที่พิเศษ เออ เราอยากเรียนรู้กับและสนุกไปกับการทำงานที่เป็นมากกว่าแค่การทำงานอาชีพทั่วไป
ปิติ:
อย่าง o-d-a เราทำมาตลอดตั้งแต่แรก ก็มีการพัฒนา มันไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ มันเหมือนเป็นการเรียนรู้หลังจากจบมหาวิทยาลัย
จุฑามาส:
o-d-a เป็นเหมือนพื้นที่ที่เรารู้สึกสนุก และอยากจะลองพัฒนาศักยภาพของตัวเอง แต่ในส่วนของการทำมาหาเลี้ยงชีพด้านอื่นก็ยังมีด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นงานออกแบบฉลากอะไรแบบนี้ก็มีเหมือนกัน
Xspace:
ได้ยินว่าพวกคุณเคยส่งงานประกวดและได้รางวัลในการประกวดระดับนานาชาติมาด้วย
จุฑามาส:
ใช่ค่ะ ตัวแรกที่ได้เป็นการประกวอที่ญี่ปุ่นในรายการ Tokyo Designers Block (TDB) ตอนนั้นยังไม่ถึงกับได้ที่หนึ่ง แต่ได้เข้าอยู่ในรอบ Finalist รอบ 10 คน สุดท้าย ที่เขาผลิตต้นแบบให้ และเอางานเราไปแสดงในนิทรรศการประกดว ก็เป็นครั้งแรกที่งานของพวกเราถูกผลิตต้นแบบโดยโรงงานที่ญี่ปุ่น และแสดงงานที่ญี่ปุ่น
ปิติ:
จะเรียกว่าเป็นโอกาสแรกก็ได้ เพราะตอนส่งงานประกวดที่ญี่ปุ่น เราก็ไม่ได้หวังว่าเราจะได้รางวัลอะไร การติดรอบ Finalist ก็ถือเป็นประตูแรก ที่เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับงานในระดับนั้น ซึ่งอย่างน้อยเราคิดว่านี่คือโอกาสที่ดี และเราก็ได้มีส่วนร่วมในงานประดวกที่เรารู้สึกว่ายิ่งใหญ่สำหรับเรา
จุฑามาส:
งานนั้นเป็นครั้งแรกที่ o-d-a มีตัวตนในระดับสากล มีชื่ออยู่ในสูจิบัตรของงาน งานของเราในตอนนั้นค่อนข้างเน้นความสดของไอเดีย จะเรียกว่าหลุดโลกก็ได้
ปิติ:
ช่วงนั้นงาน Conceptual design แบบ Droog กำลังดังมาก กลิ่นอายและโทนมันเป็นอย่างนั้นทั้งโลก ซึ่งเราก็คิดว่ามันน่าสนใจ จะเรียกว่าเป็นช่วงแสวงหาก็ได้
Xspace:
เป็นงานดีไซน์ที่มีอารมณ์ขันและความยียวนอยู่เล็กๆ
ปิติ:
ใช่ ความที่มันไม่เป็นสูตรสำเร็จ จริงๆ มันค่อนข้างระตุ้นเด็กอย่างเราว่า เฮ้ย! แบบนี้ก็ทำได้เหรอวะ! ถ้าเราอยู่เมืองไทยแล้วทำงานแบบนี้คนอาจจะยังรับไม่ได้ แต่พอเราทำส่งประกวดที่ญี่ปุ่นแล้วได้รับความสนใจ เราเลยรู้สึกสนุก ผมว่าตอนนั้นพวกเราก็กำลังหาแนวทาง หาตัวตนว่า เราคือใคร เรามีความคิดเห็นยังไง เราอยากทำอะไร หรือเรามีวิธีการออกแบบยังไง เราจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ได้ไหม
Xspace:
นอกจากเข้ารอบ Finalist แล้ว ปีต่อมา o-d-a ก็ยังได้รางวัลชนะเลิศด้วยนี่
จุฑามาส:
ใช่ค่ะ ถัดจากงาน Tokyo Designers Block (TDB) มาสัก 2 ปี เราก็ได้รางวัลชนะเชิศในงาน
nextmaruni : Wooden Armchairs Competition ซึ่งก็เป็นเซอร์ไพรส์ของพวกเราเหมือนกัน ที่ส่งแล้วได้รางวัลหนึ่ง
Xspace:
เห็นว่ากรรมการคือ นาโอโตะ ฟุกาซาวะ ด้วยใช่ไหม?
จุฑามาส:
ก็นาโอโตะด้วยค่ะ แต่ในปีที่เราส่งประธานกรรมการคือ แจสเปอร์ มอร์ริสัน (Jasper Morrison)
Xspace:
การที่คุณได้รางวัลจากเวทีประกวดระดับนานาชาติทำให้พวกคุณได้ลูกค้าระดับนานาชาติด้วยไหม
ปิติ:
ใช่ครับ ชัดเจนที่สุดคือแบรนด์ Katoji Japan ที่ทำเฟอร์นิเจอร์เด็ก
จุฑามาส:
Katoji เป็นลูกค้าที่เราได้จากงานประกวดอีกงานหนึ่ง ถัดมาจาก Next Maroni อีกสามปีค่ะ ก็เป็นงานประกวดระดับนานาชาติที่จัดขึ้นที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน หลังจากเราได้ทำต้นแบบ และแสดงงาน ที่ญี่ปุ่นเสร็จเรียบร้อย พอกลับมาเมืองไทยเราก็ได้เอาต้นแบบของงานที่เราประกวดที่ญี่ปุ่นมาแสดงในงาน BIG (Bangkok International Gift Fair) พอดีเจ้าของแบรนด์ Katoji เขามาเดินเล่นที่งาน แล้วเขาก็บังเอิญมาเห็นต้นแบบตัวนี้ และเห็นที่มาที่ไปว่างานเคยเข้ารอบการประกวดที่ญี่ปุ่น เขาก็สนใจ แล้วพอดีเขาแบรนด์เขามีหุ้นส่วนเป็นคนไทย เขาก็เลยติดต่อมาให้เราลองออกแบบเฟอร์นิเจอร์เด็กดู ก็เป็นเรียกว่าเป็นโชคชะตานำพาให้เราได้เจอกัน (หัวเราะ) จากวันนั้นมาถึงวันนี้เราก็ทำงานให้เขามาเกือบสิบปีได้แล้วค่ะ ถือว่าเป็นลูกค้าระยะยาว อย่างน้อยเราก็เห็นผลตอบรับว่างานที่เราออกแบบกลายเป็นสินค้าที่เขาสามารถขายได้จริงๆ เราก็เลยได้ทำงานออกแบบให้เขามาอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
Xspace:
จากที่พวกคุณเริ่มต้นจากการทำงานกราฟฟิกดีไซน์ หรืองานออกแบบผลิตภัณฑ์ชิ้นเล็ก ที่ไม่ได้มีกระบวนการค้นคว้าหรือต้องทำการบ้านเกี่ยวกับผู้ใช้งานมากเท่ากับงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับตัวผู้ใช้งานโดยตรง พวกคุณเรียนรู้กระบวนการเหล่านี้ได้ยังไง
จุฑามาส:
ส่วนของเรา เราก็ได้เรียนรู้ทั้งกับตัวเอง และกับคนที่เราทำงานด้วย อย่างตอนทำงานกับ Katoji เขาก็มีประสบการณ์ในการทำเฟอร์นิเจอร์เด็กมาเยอะ เพราะฉะนั้น ครึ่งหนึ่งจะเป็นคำแนะนำจากเขา อีกครึ่งหนึ่งก็จะเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่เราลองนำเสนอเขาไป ซึ่งเป็นเหมือนการประนีประนอมระหว่างสิ่งที่เราอยากนำเสนอกับสิ่งที่การตลาดของเขาเล็งเห็นแล้วว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ ก็เป็นการทำงานควบคู่กันไปแบบนี้ หรือบางครั้งเขาก็อาจจะยอมเสี่ยงไปกับเรา ในโครงการที่เขาเห็นว่าน่าสนใจ หรือมีความคิดสร้างสรรค์ และยังไม่เคยมีในตลาด ซึ่งเขาเองก็คาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเป็นยังไง ก็ลองผลิตกันขึ้นมาดู และลองทดสอบตลาดด้วยการขายจริงดู แล้วก็ใช้ประสบการณ์จากตอนที่ลองทดสอบในตลาดนี่แหละ เอามาสรุปกันอีกที ว่าควรจะไปต่อ หรือว่าควรจะหยุดไว้แค่นี้
Xspace:
จากการเป็นดีไซเนอร์ที่ออกแบบงานให้แบรนด์ต่างๆ นำไปผลิตขึ้นมา อะไรทำให้พวกคุณเปลี่ยนมาเป็นนักออกแบบที่ลงมือสร้างผลงานขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง
จุฑามาส:
อันนี้ก็ต้องย้อนกลับไปที่งานประกวดอีกนั่นแหละ คือตอนเราส่งงานประกวด ชื่อ IFDA (International Furniture Design Fair Asahikawa) ซึ่งเป็นงานประกวดออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่มีทั้งนักออกแบบ, ช่างฝีมือ หรือช่างไม้เข้าไปปะปนกัน และการที่เราได้มีส่วนร่วมกับงานนี้ เราต้องเดินทางไปไปร่วมงานที่ญี่ปุ่นด้วย ตอนไป เราก็ได้เห็นงานของผู้ส่งประกวดคนอื่นๆ และเจ้าของผลงานที่ไม่ได้เป็นแค่นักออกแบบ บางคนเป็นช่างไม้ หรือช่างฝีมือด้วย เพราะผลงานที่จัดแสดงในการประกวดครั้งนั้นมีทั้งสองรูปแบบ คือทั้งผลงานที่นักออกแบบส่งแบบไปให้โรงงานทำต้นแบบ กับผลงานที่ผู้ออกแบบทำขึ้นมาเอง ซึ่งอย่างหลังเนี่ยเปิดโลกของเรามาก จากปกติที่เราจะรู้จักแค่นักออกแบบและโรงงาน แต่ในงานนี้เราเจอช่างฝีมือที่เป็นทั้งนักออกแบบและก็เป็นช่างฝีมือที่สร้างผลงานขึ้นมาด้วยตัวเอง เราก็ค่อนข้างประหลาดใจมาก เพราะตอนนั้นเรายังทำต้นแบบงานเฟอร์นิเจอร์ไม่ค่อยเป็นเลย ทำให้พอเรากลับจากญี่ปุ่นครั้งนั้นแล้ว เรารู้สึกว่าเราอยากเพิ่มทักษะตรงนี้ให้กับตัวเองขึ้นมา
ปิติ:
ผมคิดว่า ในความเป็นนักออกแบบถ้าเราเข้าใจกระบวนการผลิต เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เราออกแบบเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ว่าสิ่งนี้น่าจะส่งผลต่อการออกแบบ เราเลยคิดว่าในฐานะนักออกแบบ เราก็ควรจะทำงานของเราออกมาได้ด้วย ซึ่งตอนนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราขาดอยู่ เราเลยไปฝึกฝนทักษะตรงนี้ขึ้นมา
Xspace:
ทำสิ่งที่คิดออกมาให้ออกมาเป็นรูปธรรมได้
ปิติ:
ใช่ครับ ถ้าเราพึ่งตัวเองได้ เข้าใจมัน และทำงานจนจบกระบวนการได้ ผมคิดว่าน่าจะส่งผลต่อการทำงานออกแบบอย่างมาก
Xspace:
แล้วพอทำจริงๆแล้วได้ผลลัพธ์ยังไง
ปิติ:
ก็มีผลมากๆ อย่างในงานต่อๆ มา วิธีคิดของเราก็อาจจะเปลี่ยนไป อย่างเช่น เรารู้แล้วว่างานในลักษณะนี้ มีความเป็นไปได้หรือข้อจำกัดแบบไหน เราก็สามารถเริ่มวางแผนการทำงานได้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นคิดงานออกแบบเลย เหมือนมารับส่งกัน เติมขาที่ขาดหายไป ทำให้เรามีอิสระในการทำงานออกแบบ และไม่ต้องบอกว่า เราทำงานแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่าผลิตไม่ได้ หรือไม่มีใครผลิตให้ หรือไม่มีใครมาจ้างเราทำ มันจะลดคำว่า “ไม่ได้” ไปเยอะมากเลย ไม่มีใครผลิตให้ ก็ทำเองสิ ลองดู ลงทุนทำเอง รันโครงการเองดูบ้าง เพราะโดยปกติ หน้าที่ของนักออกแบบคือปัจจัยหนึ่ง คือขาอันหนึ่ง ซึ่งต้องรอปัจจัยอื่นๆ ที่เหลือ แต่บางครั้งในชีวิตจริง หรือในฐานะฟรีแลนซ์อย่างพวกเรา เรานั่งรอปัจจัยอื่นๆ ไม่ได้ตลอดเวลา บางครั้งเราก็อยากจะเป็นผู้ดำเนินการ อยากรันโครงการด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น ทักษะพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเรา
Xspace:
หมายถึงการพึ่งพาตัวเองได้?
ปิติ:
ใช่ พึ่งพาตัวเองได้ในทุกๆ มิติ
Xspace:
ไม่จำเป็นต้องรอโรงงานมาผลิตให้?
ปิติ:
ใช่ หรือสมมุติว่าเราออกแบบแล้วต้องใช้เทคโนโลยีสูงมากในการผลิต เราก็แก้ให้มันผลิตง่ายขึ้น แต่ความน่าสนใจยังคงมีอยู่
Xspace:
ทำให้มองภาพรวมได้ชัดขึ้น
ปิติ:
ใช่ ทำให้เราแก้สมการในการออกแบบได้ถูกต้อง เพื่อให้งานผลิตออกมาได้ ไม่ถูกจำกัดจากความคุ้นชินของเรา ที่อาจจะมัวแต่คิดว่า ที่เราทำไม่ได้เพราะมันไม่สามารถทำได้จริง แล้วก็ล้มเลิกไป
Xspace:
แบบนี้คำว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ก็อาจจะไม่ถูกเสมอไป
ปิติ:
ไม่ถูกเสมอไป
Xspace:
เอาจริงๆ น่าจะเป็น “จินตนาการสัมพันธ์กับความรู้” มากกว่า เพราะถ้ามีแต่จินตนาการแล้วไม่มีความรู้ในการเปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นรูปธรรม เราก็ทำสิ่งที่เราคิดให้กลายเป็นจริงไม่ได้?
ปิติ:
เพิ่มอีกคำหนึ่งคือ “ทักษะ” สมมุติว่าเรามีจินตนาการ มีความรู้ แล้ว ผมว่าเราต้องมีทักษะเพิ่มอีกอย่าง เราก็จะสามารถทำในสิ่งที่เราคิดให้กลายเป็นจริงได้
Xspace:
วิธีคิดแบบนี้เหมือนปรัชญาในการทำงานของเบาเฮาส์ (Bauhaus) ที่ศิลปินหรือออกแบบต้องมีทักษะและความสามารถในการผลิตผลงานของตัวเองขึ้นมาได้ด้วย
ปิติ:
ใช่ๆ อย่างตอนนี้มีแนวคิดในเรื่องของ Head, Heart, Hand อยู่ คือการเป็นนักออกแบบ เราต้องใช้ HEAD (สมอง) ในการคิดงานออกมาใช่ไหม แต่ Hand (มือ) ที่สร้างผลงานขึ้นมา หรือการใช้ Heart (หัวใจ) ในการจินตนาการให้งานออกมาจับใจ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ผมคิดว่าถ้าสามส่วนนี้ผสานกันจะทำให้งานออกมาสมบูรณ์ อีกอย่าง เวลาทำงาน พวกเราไม่ต้องการปัจจัย หรือทีมงานผู้ผลิตที่ใหญ่เกินไป ไม่อย่างนั้นเราต้องมัวแต่อ้างว่า เราจะต้องรอโรงงานใหญ่มาดีลกับเรา เราถึงจะทำงานโครงการนี้สำเร็จอะไร แต่ในทางกลับกัน ถ้าคนไม่กี่คนเราสามารถทำงานด้วยการใช้ Head Heart Hand ผสานกันได้ ผมว่ามีคนแค่คนเดียวหรือสองคน เราก็สามารถจบงานได้เหมือนกัน.
Xspace:
ช่วยเล่าถึงที่มาและแนวคิดของผลงานชุดล่าสุดที่พวกคุณแสดงในนิทรรศการ XSPACE The XHIBITION หน่อย
ปิติ:
พอเรารู้ว่าจะต้องทำงานร่วมกับ XSPACE เราก็ดูว่า XSPACE มีปัจจัยอะไรบ้าง ก็ค้นพบว่าที่นี่มีเก้าอี้หลายตัวน่าสนใจ เราเลยอยากเอามาทำอะไรสักอย่าง เราเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งของ XSPACE ที่มีชื่อว่า WING ซึ่งเป็นเก้าอี้สวยที่ มีสัดส่วนที่ดี และมีราคาที่จับต้องได้ตัวหนึ่ง เรารู้สึกว่าเก้าอี้ตัวนี้น่าสนใจ ในโอกาสพิเศษที่เรามาแสดงงานครั้งนี้ เราเลยหยิบเก้าอี้ตัวนี้มาตีความต่อ เริ่มต้นด้วยการหาข้อมูลและที่มาที่ไป ว่าเก้าอี้ WING มีที่มาจากไหน ใครเป็นคนผลิตและคนออกแบบ และเราก็พบว่าเก้าอี้ตัวนี้ถูกออกแบบและผลิตโดยแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ในประเทศสเปน (ออกแบบโดยสตูดิโอดีไซน์ Ramos & Bassols ผลิตโดยแบรนด์ ACTIU) เรารู้สึกว่าตอนนี้มันเดินทางมาอยู่ที่ XSPACE เราเลยอยากจะเล่าเรื่องราวการเดินทางของเก้าอี้ตัวนี้ที่ถือกำเนิดขึ้นที่สเปนและเดินทางมาเมืองไทย ได้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไทยๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เราอยากถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ เหมือนการเดินทางของเก้าอี้ตัวหนึ่งจากสเปนมายังกรุงเทพฯ แล้วจะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างกับ sense of place ของกรุงเทพฯ ที่หล่อหลอมเข้ากับเก้าอี้ตัวนี้
จุฑามาส:
คล้ายกับเราทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้สังเกตการณ์การเดินทาง และเชื่อมโยงเก้าอี้ตัวนี้เข้ากับ (Street Culrure) วัฒนธรรมบนท้องถนนของกรุงเทพฯ
ปิติ:
ลองเอาความเป็น Street Culrure มาผสมเข้าไปกับเก้าอี้ตัวนี้ดู ว่าจะออกมาเป็นยังไง
จุฑามาส:
เราลองทำสถิติดูว่า ส่วนใหญ่คนทั่วไปปฏิบัติกับเก้าอี้นี่สักตัวทำยังไงบ้าง เช่นเก้าอี้ที่ขาหักหรือชำรุดบางส่วน เขาจะทำยังไงกับมัน เขาจะซ่อมแซมหรือเสริมต่อยังไงบ้าง เราคิดว่าท่าทีหรือพฤติกรรมคนเหล่านี้ทำกับเก้าอี้นั้นน่าสนใจ เพราะเป็นการกระทำจากสัญชาตญาณที่อยากจะให้เก้าอี้ของเขากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง หรือใส่จินตนาการต่อยอดกับมัน ถึงแม้ว่าบางทีเก้าอี้ตัวนั้นอาจจะใช้งานได้ตามปกติอยู่แล้ว แต่เขาอาจจะอยากดัดแปลงให้มันเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือของใช้อีกประเภทหนึ่งขึ้นมา เราก็สังเกตข้อมูลเหล่านี้จากสิ่งที่เราพบเห็นรอบๆ ตัว ทั่วๆ ไป
ปิติ:
อีกอย่าง เราสนใจในวัฒนธรรมของคนในสังคมว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับเก้าอี้หรือว่าข้าวของเครื่องใช้อย่างไร แล้วเราก็คิดว่าสองส่วนนี้น่าจะเอามารวมกันได้
จุฑามาส:
เราก็เลยหยิบเอาประเด็นนี้มาเป็นมาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการทำผลงานครั้งนี้
ปิติ:
เรารู้สึกว่าอยากจะเล่าเรื่องเหมือนกับว่าเก้าอี้ตัวนี้เป็นคนคนหนึ่ง เป็นนักท่องเที่ยวสักคนที่เดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ไปสักระยะหนึ่ง แล้วซึมซับเอาวัฒนธรรมของท้องถิ่นและวิถีชีวิตของกรุงเทพฯ เข้าไปในตัว แล้วมันจะกลายเป็นกลิ่นแบบไหนออกมา? ผลงานชุดนี้เราทำงานออกมาเป็นชิ้นงาน 3 ชุด 3 ประเภท งานชุดแรกคือ “COLORING” เราอยากแสดงให้เห็นถึงสีสันของความเป็นกรุงเทพฯ เราเลยคิดว่าเราอยากจะแต่งตัวให้กับเก้าอี้ตัวนี้ด้วยการเติมแต่งสีสันใหม่เข้าไป แล้วจะมีโทนสีแบบไหนที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนกับเก้าอี้ตัวนี้ได้เดินทางหรือว่ามาอยู่ในกรุงเทพฯ สักระยะหนึ่งแล้ว? เราก็สนใจโทนสีของรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่เป็นสีทูโทน ซึ่งเรายังไม่เคยเห็นแท็กซี่สีแบบนี้ที่อื่น
จุฑามาส:
เราก็มองโทนสีนี้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่สมมุติว่านักท่องเที่ยวมาเที่ยวแล้วเห็นรถแท็กซี่ที่มีสีสันแบบนี้ เขาจะต้องรู้ว่านี่คือแท็กซี่ในกรุงเทพฯ
ปิติ:
แล้วแท็กซี่ก็สัมพันธ์กับการเดินทาง เราเลยทดลองเก้าอี้ WING มาพ่นสีเป็นทูโทนเหมือนรถแท็กซี่เทพฯ
จุฑามาส:
ตอนแรกเรามองไปที่สามล้อกับรถเมล์ด้วย แต่พอคิดไปคิดมาก็เลยโฟกัสที่แท็กซี่อย่างเดียวก่อนดีกว่า
Xspace:
แท็กซี่ในกรุงเทพฯ มีเอกลักษณ์ตรงสีสันที่จัดจ้านมากๆ
ปิติ:
ใช่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ เหมือนเวลาคนพูดถึงนิวยอร์กก็จะนึกถึงสีเหลืองของรถแท็กซี่ Yellow Cab กัน ผมคิดว่าบ้านเราก็มีอารมณ์แบบนั้นได้ อย่างพอเห็นแท็กซี่สีเขียวเหลือง เราก็จะนึกถึงกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ดี ถ้าเราเอามาเล่นในงานออกแบบมากๆ เข้า ก็อาจจะทำให้เอกลักษณ์นี้โดดเด่นขึ้น เราคิดว่ามันเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่เราสามารถหยิบเอามาใช้กับงานออกแบบหรืองานศิลปะได้
Xspace:
แม้จะเป็นวัฒนธรรมป๊อปก็ตาม
ปิติ:
ใช่ อีกอย่าง โทนสีของแท็กซี่ก็สดใสด้วย ถ้าสังเกตุเก้าอี้ WING โทนสีเดิมที่ผลิตออกมาจะเป็นสีออกโทนพาสเทล เบรคสีให้นุ่ม คุมโทน เพื่อให้ใช้กับงานตกแต่งภายในได้ง่าย แต่พอเป็นโอกาสพิเศษ เราเลยเปลี่ยนเก้าอี้ตัวนี้ให้สะดุดตา เพื่อให้น่าสนใจขึ้น
Xspace:
แล้วผลงานชุดสองล่ะ
ปิติ:
งานชุดที่สองคือ “ROCKING” เราพูดถึงวัฒนธรรมการดัดแปลงข้าวของที่เราพบเห็นตามท้องถนน หรือคนที่ใช้ชีวิตริมถนนอย่างเช่น ร้านค้าข้างทาง หรือวินมอร์เตอร์ไซค์ เราจะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ในความเป็นกรุงเทพฯ ในความเป็นไทย อย่างเช่น เรามักจะเห็นคนใช้เก้าอี้วางจองพื้นที่จอดรถ เพราะเป็นสิ่งที่พบเจอได้ง่าย ราคาถูก และน้ำหนักเบา
Xspace:
หยิบฉวย ใช้งานง่าย
ปิติ:
ใช่ แล้วถ้าเราดูดีๆ บางครั้งก็มักจะเป็นเก้าอี้ที่เสียหาย นั่งไม่ได้แล้ว หรือเก้าอี้ที่ขาหักจนเหลือสามขา เก้าอี้พวกนี้มักจะไม่ถูกทิ้ง ถึงแม้ว่าจะนั่งไม่ได้ แต่ก็ยังถูกนำมาใช้ทำหน้าที่ในการจองพื้นที่ได้อีก หรือบางครั้งเก้าอี้ที่ชำรุดเสียหาย หรือถูกทิ้งขว้าง บางคนก็มาดัดแปลงให้ใช้งานใหม่ได้ หรือบางครั้ เก้าอี้ที่ไม่ได้ชำรุดเสียหาย แต่เขาก็เอาไปต่อเติมเพื่อให้มันตอบสนองฟังก์ชั่นที่เขาต้องการ อย่างเช่น เรามักจะเห็นว่ามีเก้าอี้พลาสติกบางตัวที่วินมอร์เตอไซค์อามาใส่เบาะเอง เพราะว่าเขาอยากจะให้นั่งสบายขึ้น เป็นการดัดแปลงอย่างจริงใจ ซึ่งเราเห็นว่าน่าสนใจ ดังนั้นงานชุดที่สองเราเลยพูดถึงการดัดแปลงเก้าอี้ WING ให้มีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้นจากการเป็น Side Chair (เก้าอี้ตั้งข้างห้อง) ธรรมดา เราเลยเลือกฟังก์ชั่นที่เราสนใจ เราอยากให้มีเท้าแขนเพื่อเป็นเก้าอี้อาร์มแชร์ และเราอยากให้เป็นเก้าอี้โยกด้วย (Rocking chair) พอเราคิดฟังก์ชั่นได้ เราก็คิดว่าเราจะดัดแปลงยังไงดี หมายถึงว่า เราก็เลยนึกถึงฒนธรรมสตรีท ว่าเราจะต่อเติมขาโยกหรือว่าเท้าแขนยังไงให้เก้าอี้ดูสวยงามในความสามารถ เทคโนโลยี และวัสดุที่เรามี
Xspace:
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัย
ปิติ:
ไม่จำเป็นเลย ถ้าเราทำแบบนั้นอาจจะผิดที่ผิดทางด้วยซ้ำ เราใช้เทคโนโลยีที่ง่ายที่สุด ใช้เครื่องมือที่จำกัดที่สุด เพื่อที่เราจะได้สะท้อนภาพของวัฒนธรรมสตรีทออกมาได้
Xspace:
แนวคิดนี้ทำให้นึกไปถึงงานของผลงานของพี่น้องคัมพานา (Campana brothers) นักออกแบบชาวบราซิล ที่ใช้วัสดุบ้านๆ อย่างหวาย ไม้ไผ่ กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและงานฝีมือบ้านๆ อย่างการสาน ถัก เย็บ ตอก มาทำงานโมเดิร์นดีไซน์
ปิติ:
พี่น้องคัมพานาก็เป็นตัวอย่างที่ดีนะ ผมรู้สึกว่าบราซิลกับประเทศไทยมีลักษณะที่คล้ายกัน คือเราไม่ใช่ประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่งานของพวกเขาพิสูจน์แล้วว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่มีขอบเขตและขีดจำกัด แต่เราสามารถทำงานโลว์เทคให้เป็นงานที่ดีและยั่งยืนได้เหมือนกัน
Xspace:
แล้วชุดที่สามล่ะ?
จุฑามาส:
งานชุดที่สามคือ “STACKING" พูดเรื่องการดัดแปลงเหมือนกัน
ปิติ:
งานชุดนี้เราไม่ได้ทำกับเก้าอี้โดยตรง แต่เราอยากจะมองไปถึงบรรยากาศของวัฒนธรรมสตรีท ในฐานะที่เราเป็นผู้สังเกตการณ์ สมมุติเราไปตลาดสดหรือร้านขายของที่มีผู้คนจอแจ เราจะเห็นการจัดเรียงข้าวของแบบกองสุมๆ อาจจะมีเข่งหรือลังผลไม้ซ้อนกันเป็นกองพะเนินในตลาดผลไม้ ดูเผินๆ อาจจะวุ่นวาย แต่ถ้าเราดูดีๆ แล้ว ในการจัดเรียงอย่างโกลาหลของเขานั้นมีระเบียบแฝงอยู่ ซึ่งเป็นทักษะของเขา ทักษะของคนท้องถิ่นหรือคนที่ทำอาชีพแบบนี้ ที่จะจัดการกับข้าวของที่กองสุมกันอย่างวุ่นวายได้
Xspace:
เพื่อหยิบได้อย่างสะดวกมือ
ปิติ:
ใช่ ในพื้นที่และเวลาที่จำกัด หรืออย่างร้านหนังสือเล็กๆ ที่มีหนังสือที่กองสุมเต็มไปหมด แต่คนขายสามารถรู้ได้ว่าหนังสือเล่มไหนอยู่ตรงไหน เราเห็นว่าการเรียงข้าวของกองสุมๆ แบบนั้นของเขาน่าสนใจ เราอยากจะขับเน้นภาพตรงนี้ออกมา เราก็เลยทำเป็นชั้นวางของที่ประกอบขึ้นจากการวางของกองๆ ซ้อนกันขึ้นมา
จุฑามาส:
เป็นการจำลองภาพที่เราเห็นในร้านขายของเหล่านั้นออกมา ด้วยการประกอบกันของสิ่งของไม่ได้มีขนาดและสัดส่วนที่เท่ากันเลย แต่สามารถอยู่ด้วยกันได้
ปิติ:
เราออกแบบกล่องไม้หลายๆ ใบขึ้นมา เพื่อที่จะเอามาซ้อนกันเรียงกันให้เกิดภาพที่ดูจะวุ่นวาย แต่ความจริงผ่านการวางแผนและออกแบบมาแล้ว แล้วก็เราจะเว้นพื้นที่เพื่อให้สามารถเอาเก้าอี้ WING ใส่หรือฝังเข้าไปในชั้นวางของนี้ได้ ในขณะที่ตัวชั้นวางที่ประกอบจากกล่องไม้นี้ก็มีความแข็งแรงและใช้งานได้จริง และมีความสวยงาม แต่ก็ทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วย
Xspace:
มีความดิบหยาบบางอย่างหลงเหลืออยู่
ปิติ:
ใช่ เราอยากให้กลิ่นของความดิบๆ ยังคงอยู่ เพราะถ้าเราไปทำให้เนี้ยบ เรียบร้อยไปทั้งหมด เราจะอาจจะไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายเหล่านั้น
Xspace:
การเอาเก้าอี้ WING ใส่เข้าไปในชั้นวางแบบนี้สื่อถึงอะไร
ปิติ:
เราจะมองเป็นโจทย์อย่างหนึ่งก็ได้ สมมุติถ้าเราอยากมีชั้นวางของสักอัน แต่ว่าห้องเราก็ไม่มีที่วางเก้าอี้แล้ว หรือร้านขายของที่มีพื้นที่เล็กนิดเดียว แต่เจ้าของร้านต้องเอาของทุกอย่างใส่เข้าไปในนั้นให้ได้ เขาจะทำอย่างไร? เราก็เลยจำลองพื้นที่แบบนั้นขึ้นมา ว่าเราจะเว้นพื้นที่ของชั้นวางของยังไงเพื่อให้เก้าอี้ตัวหนึ่งใส่เข้าไปได้ เหมืิอนเวลาเราขับรถไปตามถนนแล้วเห็นรถบรรทุกผักคันใหญ่ๆ แขวนเก้าอี้หรือจักรยานเอาไว้หลังรถ ทำให้เราอยากจะลองใส่เก้าอี้เข้าไปในชั้นวางของนี้ เพื่อเชื่อมโยงงานทั้งสามชุดเข้าด้วยกัน
Xspace:
จริงวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบนี้ก็เป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยเหมือนกัน
ปิติ:
ใช่ เป็นวัฒนธรรมร่วมสมัย เป็นการเชื่อมโยงสองจุด ว่าเก้าอี้ WING มาจากสเปน มาอยู่ที่เมืองไทย เราอยากจะเอาวัฒนธรรมของเราเข้ามาผสมกับเขาให้เห็นกันชัดๆ เราก็เลยตั้งชื่องานทั้งสามชุดนี้ว่า “BANGKOK JOURNEY READYMADE” คำแรก “BANGKOK” นั้นหมายถึง “Sense of Place” หรือกลิ่นอายของ กรุงเทพฯ ส่วนคำที่สองก็คือ JOURNEY นั้นหมายถึงการเดินทางของเก้าอี้ที่มาจากที่อื่น เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ในสิ่งแวดล้อมนี้ ส่วนคำว่า READYMADE เราอยากพูดถึงกระบวนการทำงานชุดนี้ ว่าเรามีเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่เราเอามายำ เอามาทำให้เกิดสิ่งของใหม่ขึ้นมา เอามาพ่นสี เอามาต่อเติมเพื่อให้เกิดฟังก์ชั่นใหม่ๆ หรือเอามาผนวกเข้ากับบรรยากาศใหม่ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สะท้อนความเป็นกรุงเทพๆ ออกมาด้วย
Xspace:
เอาของที่มีอยู่แล้วมาทำใหม่
ปิติ:
ใช่ เป็น READYMADE แบบไทยๆ แบบกรุงเทพฯ ผมคิดว่างานทั้งสามส่วนจะเชื่อมกันจนเกิดเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ขึ้น.
ภาพถ่ายโดย อาทิตย์ ศรีวะรา, เกียรติศักดิ์ พิมพ์บูรณ, จิราภรณ์ อินทมาศ
ดูวิดีโอสัมภาษณ์ของพวกเขาได้ที่นี่ https://youtu.be/HnTke6YKoSY
#Xspace #art #design #oda #BANGKOKJOURNEYREADYMADE #furnituredesign #DIY #thaithai #coloring #rocking #stacking #inspiration #แรงบันดาลใจจากงานออกแบบ
นิทรรศการ BANGKOK JOURNEY READYMADE โดย o-d-a เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 63 - 28 ก.พ. 64 (จันทร์ ถึง ศุกร์ เวลา 10:00 น. - 17:00น.) ที่อาคาร XSPACE Art Gallery ซอยปรีดีพนมยงค์ 14 ถนนสุขุมวิท 71
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02 005 3550, อีเมล [email protected]
** สนใจผลงาน โปรดติดต่อ Official Line : @xspace หรือคลิก https://lin.ee/IoAkEaF