ARTWORKS ARTISTS BOOKS EXHIBITION BLOG
Contemporaries

ศิลปินแสดงสดผู้ใช้ร่างกายท้าทายขีดจำกัดมนุษย์ Marina Abramović

Contemporaries

ศิลปินแสดงสดผู้ใช้ร่างกายท้าทายขีดจำกัดมนุษย์ Marina Abramović


มารินา อบราโมวิช (Marina Abramović) เป็นศิลปินร่วมสมัยคนสำคัญผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่รู้จักมากที่สุดของโลกคนหนึ่ง 

เธอเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินเพอร์ฟอร์แมนซ์ (Performance artist) ชาวเซอร์เบียน ผู้ทำงานศิลปะอันท้าทายมากว่าสี่ทศวรรษ กับฉายา “Grandmother of Performance Art” ผลงานของเธอมักเกี่ยวข้องกับการท้าทายขีดจำกัดความอดทนของร่างกายและจิตใจ และมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง ความเจ็บปวด ความไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต ประเด็นทางเพศ, การเมือง และการต่อต้านสงคราม

ผลงานของเธอสำรวจประเด็นเกี่ยวกับความไว้วางใจ ความอดทนอดกลั้น การชำระล้าง และการเดินทางค้นหาความหมายของชีวิต เธอมองว่าการทดสอบขีดจำกัดของร่างกายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทางจิตวิญญาณ เธอมักทำลายระยะห่างระหว่างศิลปินและผู้ชมด้วยการใช้ร่างกายของตัวเองเป็นสื่อทางศิลปะ

เป้าหมายในการทำงานศิลปะแสดงสดของเธอคือการเอาชนะความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ เธอใช้ศิลปะข้ามทุกขอบเขตจำกัด หลายครั้งที่เธอต้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหนักและเสี่ยงชีวิตในการทำการแสดงสด

“ศิลปะไม่ควรเป็นอะไรที่เกี่ยวกับแค่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่มันก็ไม่ควรเป็นอะไรที่เกี่ยวกับแค่ความเจ็บปวดและการเมือง เพียงอย่างเดียวด้วยเช่นกัน ศิลปะควรจะมีหลากหลายแง่มุม” อบราโมวิชกล่าว

ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือ Rhythm 0 (1974) ศิลปะแสดงสด ที่เธอเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ จำนวน 72 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดอกกุหลาบ, กรรไกร, ปากกา, หรือแม้แต่ปืนพกบรรจุกระสุน และเชื้อเชิญผู้ชมให้ใช้อุปการณ์เหล่านี้ทำอะไรกับเธอก็ได้ตามใจ เป็นเวลา 6 ชั่วโมง โดยที่เธอไม่ต่อต้านหรือป้องกันตัวแม้แต่น้อย ตอนแรกผู้ชมเริ่มต้นด้วยอะไรเบา อย่างการจูบ หรือเอาขนนกแหย่เธอ ต่อมาก็เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ บางคนเอาปากกาเขียนบนตัวเธอ บางคนใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าเธอ บางคนกรีดร่างเธอด้วยมีดแล้วดูดเลียเลือดของเธอ บางคนลวนลามเธอ หนักที่สุดคือบางคนเอาปืนจ่อหัวเธอ ผลงานชุดนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ต้องรับผิดขอบต่อผลการกระทำของตัวเอง มนุษย์เราก็สามารถทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างง่ายดายแล้ว เธอยังต้องการให้ผู้ชมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในผลงานศิลปะของเธอมากกว่าจะเป็นแค่ผู้สังเกตุการณ์อยู่เฉยๆ

ในช่วงปลายยุค 1970s เธอพบกับศิลปินชาวเยอรมัน อูไลย์ (Ulay) และใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่รักและศิลปินคู่ และร่วมกันทำศิลปะแสดงสดอันสุดแสนจะท้าทายร่วมกัน

อย่างเช่น ผลงาน Rest Energy (1980) ที่เล่นกับความเปราะบางระหว่างชีวิตและความตาย ด้วยการที่อบราโมวิชและอูไลย์ยืนประจันหน้ากัน มือของเธอรั้งคันธนู ในขณะที่มือของเขาเหนี่ยวลูกธนูบนสาย โดยที่ปลายลูกธนูห่างจากหัวใจของเธอเพียงไม่กี่นิ้ว

ทั้งคู่ทำงานร่วมกันอย่างยาวนานเป็นเวลา 12 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ในฐานะคู่รักและคู่หูในปี 1988 และร่วมกันทำผลงานสุดท้ายในฐานะศิลปินคู่อย่าง The Lovers: the Great Wall Walk (1988) ที่เขาและเธอใช้เวลาสามเดือนเดินบนระยะทางคนละ 2,500 กิโลเมตรมาพบกันตรงกลางกำแพงเมืองจีนเพื่อกล่าวคำอำลาจากกัน หลังจากแยกทางกับอูไลย์ อบราโมวิชก็กลับมาสร้างผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างโดดเด่นมากมาย

อย่างเช่น ผลงาน Balkan Baroque (1997) ที่เธอใช้แปรงขัดถูทำความสะอาดกระดูกวัวโชกเลือดจำนวน 2,500 ท่อน ในเวลาหกวัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเลวร้ายของสงครามที่เกิดขึ้นทุกๆ แห่งหนบนโลกใบนี้ ผลงานชิ้นนี้ร่วมแสดงในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 47 ในปี 1997 รับรางวัลสูงสุดของงานอย่างสิงโตทองคำ (Golden Lion) 

หรือผลงาน The Artist is Present (2010) ที่เธอแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งนิวยอร์ก (MoMA) ด้วยการนั่งเงียบๆ ที่โต๊ะไม้ที่มีเก้าอี้ว่างเปล่า วางไว้ให้ผู้ชมมานั่งจ้องตากับเธอทีละคนเป็นเวลาห้านาที เป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวัน การแสดงครั้งนี้กินเวลาเกือบสามเดือน โดยเธอจ้องตาคนไปนับพันคน และหนึ่งในนั้นก็คืออดีตคู่รักและคู่ร่วมงานของเธออย่างอูไลย์ มานั่งจ้องตากับเธออย่างเงียบๆ แต่ซาบซึ้ง จนกลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก

เธอกล่าวว่า “หลังจากทำงานชิ้นนี้จบ มันทำให้ตระหนักขึ้นมาว่า ความแตกต่างระหว่างการนั่งจ้องตากับผู้ชมเงียบๆ โดยไม่ทำอะไรเลย (ผลงาน The Artist is Present) กับการเปิดโอกาสให้สาธารณชนทำอะไรกับคุณก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ (Rhythm 0) ก็คือการเลือกใช้เครื่องมือนั่นเอง นับตั้งแต่นั้นมา แทนที่จะทำงานที่กระตุ้นเร้าจิตสำนึกอันเลวร้ายของผู้คน ฉันก็เลือกที่จะทำงานที่ยกระดับจิตใจของพวกเขาแทน และนั่นเป็นสิ่งที่พยายามทำจวบจนถึงทุกวันนี้”

แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ยังคงไม่หยุดในทำงารศิลปะแสดงสดที่ท้าทายขีดจำกัดของตัวเองเสมอมา เธอกล่าวว่า “ร่างกายคือจักรวาลในรูปแบบหนึ่ง การทำความเข้าใจมันคือการทำความเข้าใจจักรวาล สำหรับฉัน ศิลปะแสดงสดเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจจักรวาลที่ว่า ฉันต้องการแสดงให้ผู้ชมเห็นว่า ถ้าฉันสามารถผ่านความเจ็บปวดนี้ไปได้ คุณเองก็สามารถทำได้เช่นกัน นั่นคือสารที่ฉันต้องการจะสื่อ” 

“มนุษย์เรามีความกลัวในสองสิ่ง คือ ความตาย และ ความเจ็บปวด ถ้าคุณปลดปล่อยตัวเองให่้เป็นอิสระจากความกลัวทั้งสองประการนี้ได้ เมื่อนั้น คุณถึงจะสามารถดื่มด่ำสำราญกับชีวิต” สิ่งนี้เปรียบเสมือนอุดมการณ์หลักในการทำงานของเธอตลอดมา

เธอยังก่อตั้งสถาบัน มารีนา อบราโมวิช (Marina Ambramović Institute (MAI)) ที่สร้างศิลปินรุ่นใหม่หลากหลายแขนงให้เติบโตทางความคิดอย่างไร้ขีดจำกัด เพราะเธอเชื่อว่าศิลปะทุกแขนงสามารถหลอมรวมกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ

มารินา อบราโมวิช เคยมาร่วมแสดงในกรุงเทพฯ ณ เทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ครั้งที่ 1 ในปี 2018 กับผลงานศิลปะจัดวางเชิงตอบโต้ Standing Structures for Human Use (2017)ในโครงการ One Bangkok ถนนวิทยุ และ The Method (2018) ผลงานศิลปะที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมกันได้ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) 

ในปี 2020 นี้ มารินา อบราโมวิช ก็กลับมาร่วมแสดงอีกครั้ง ในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ครั้งที่ 2 กับผลงาน Rising (2018) ศิลปะเสมือนจริง หรือ เวอร์ชวลเรียลลิตี้ (VR) ชิ้นแรกของเธอ ที่ทำขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งตอนนี้กำลังจัดแสดงร่วมกับงานของศิลปินอื่นๆ อีกหลายคนที่ชั้น 15 โครงการ เดอะ ปาร์ค (The PARQ) พระราม 4 ใครสนใจก็ไปชมกันได้ตามสะดวก

#Xspace #art #CONTEMPORARIES #artist #marinaabramović #performance #grandmotherofperformanceart #challange #explores #limitsofphysical #inspiration #แรงบันดาลใจจากงานศิลปะ






More to explore