ARTWORKS ARTISTS BOOKS EXHIBITION BLOG
Art Behind Film

มหกรรมเสียดสีตีแผ่วงการศิลปะร่วมสมัย Boogie Woogie

Art Behind Film

มหกรรมเสียดสีตีแผ่วงการศิลปะร่วมสมัย Boogie Woogie


ในวงการศิลปะร่วมสมัยโลก ก็เป็นเช่นเดียวกับวงการอื่นๆ ที่ไม่เคยร้างราเรื่องดราม่าร้อนๆ บ่อยครั้งศิลปิน คิวเรเตอร์ และคนในแวดวงศิลปะทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ รุ่นใหญ่รุ่นเล็ก ต่างก็เสียดสีจิกกัดและตอบโต้กันอย่างไม่ลดราวาศอก ไม่เว้นวาย

ในตอนนี้เราเลยขอรีวิวหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับดราม่าแสบๆ คันๆ ในวงการศิลปะด้วยเลยก็แล้วกัน หนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า

Boogie Woogie (2009)

หนังตลกร้ายเสียดสีวงการศิลปะร่วมสมัย ที่ดัดแปลงจากนิยายในชื่อเดียวกันของ แดนนี มอยนาแฮน (Danny Moynihan) ที่เล่าเรื่องราวตีแผ่แฉเบื้องหลังวงการศิลปะร่วมสมัยของลอนดอนในยุค 1990 ได้อย่างเจ็บแสบ หนังกำกับโดย ดันแคน วอร์ด (Duncan Ward) นำแสดงโดย แดนนี ฮิวส์ตัน, สตัลแลน สการ์สการ์ด, จิลเลียน แอนเดอร์สัน, อลัน คัมมิง, เฮเธอร์ เกรแฮม, อแมนดา ซีย์ฟรีด และ คริสโตเฟอร์ ลี

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) ในฉากที่ปรากฏภาพวาด Second Version of Triptych 1944 (1988) ของ ฟรานซิส เบคอน

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) ในฉากที่ปรากฏผลงานของ คอนสแตนติน บรังคูซี (ประติมากรรมรูปเสา), แอนดี้ วอร์ฮอล, ทิม โนเบิล และ ซู เว็บสเตอร์ (ป้ายไฟรูป $) และ ไมเคิล แลนดี (รถเข็นดอกไม้จากปากคลอง #ไม่ใช่ละ!)

หนังฉายภาพของผู้คนที่ฉกฉวยแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกันอย่างตะกละตะกรามในวงการศิลปะร่วมสมัยของลอนดอนและของโลก กับการเล่นเกมอำนาจและเงินทองของเหล่าพ่อค้า นักสะสมงานศิลปะ เจ้าของแกลเลอรี ศิลปิน ภัณฑารักษ์ และวอนนาบีในวงการศิลปะทั้งหลาย

Boogie Woogie เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ชำแหละให้เราเห็นถึงฉากหลังของวงการศิลปะอันสวยหรูดูดี ที่ความจริงเต็มไปด้วยความฟอนเฟะเน่าใน ไม่ว่าจะเป็นเซ็กส์ ยาเสพติด การคบชู้ การทรยศ แทงข้างหลัง ความโลภโมโทสัน ความดัดจริตตอแหลกะล่อนปลิ้นปล้อนของคนในวงการศิลปะที่เชิดชูตัวเองว่ามีรสนิยมเลิศล้ำหรูวิไลกว่าชาวบ้านชาวช่องได้อย่างแสบสันต์คันทรวงเป็นที่ยิ่ง

นอกจากนั้นมันยังตีแผ่ให้เราเห็นถึงธุรกิจค้างานศิลปะร่วมสมัย ที่ผลงานศิลปะถูกปั่นราคากลายเป็นของล้ำค่าราคาแพงมหาศาลกว่าเพชรทอง จนไม่อาจรู้ได้ว่าคนซื้อคนขายเหล่านั้นชื่นชมในคุณค่าผลงานหรือมูลค่าทางการตลาดของมันกันแน่?

ด้วยความที่ แดนนี มอยนาแฮน ผู้เขียนนิยาย เป็นอดีตนักค้างานศิลปะของลอนดอนในช่วงยุค 70 เขาสนิทสนมกับแลร์รี กาโกเซียน เจ้าของแกลเลอรีผู้ทรงอิทธิพลอย่างแกลเลอรี Gagosian และ เจย์ จอปลิง แห่งแกลเลอรี White Cube นักค้างานศิลปะและเจ้าของแกลเลอรีชื่อดังผู้มีบทบาทอย่างสูงในแวดวงศิลปะร่วมสมัยโลก ในช่วงยุค 90

มอยนาแฮนเป็นนักค้างานศิลปะคนแรกๆ ที่สนับสนุนศิลปินหน้าใหม่ของอังกฤษ เขาแชร์สตูดิโอกับศิลปินหน้าใหม่ในเวลานั้นอย่าง เดเมียน เฮิร์สต์ (Damien Hirst) และร่วมเมาเหล้าถุนยาหัวราน้ำกับศิลปินรุ่นใหม่ (ในเวลานั้นอีกเหมือนกัน) อย่าง เทรซี เอมิน (Tracey Emin) และ แกรี ฮิวม์ (Gary Hume) ที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนาม YBA หรือ Young British Artists กลุ่มศิลปินหน้าใหม่รุ่นเยาว์ที่ส่งอิทธิพลอย่างสูงต่อความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะร่วมสมัยของอังกฤษและของโลก หลังจากวางมือและหันหลังให้แวดวงศิลปะ มอยนาแฮนก็เขียนนิยายเล่มนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ที่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการ (ซึ่ง เฮิร์สต์ ก็มาช่วยออกแบบปกหนังสือให้ด้วย) และนอกจากเขาจะเป็นคนดัดแปลงนิยายให้เป็นบทหนังด้วยตัวเองแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของหนังอีกด้วย จึงไม่นาแปลกใจเลยว่าทำไมหนังถึงเปิดโปงความเหลวแหลกโสมมที่อยู่เบื้องหลังวงการศิลปะร่วมสมัยออกมาได้สมจริงถึงเพียงนี้ (ด้วยความที่ผู้เขียนเองก็เคยคลุกคลีอยู่ในวงการศิลปะร่วมสมัยมาด้วยเหมือนกัน ขอยืนยันว่ามัน “จริง” โคตรๆ) ถ้านึกภาพยังไม่ออกว่ามันเป็นยังไง ก็ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่ามันก็เหมือนหนัง The Devil Wears Prada ที่เปลี่ยนจากวงการแฟชั่นเป็นวงการศิลปะ แล้วก็เพิ่มเรื่องเซ็กส์กับยาเสพติดเข้าไปอีกเยอะ ๆ อ่ะนะ

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) ในฉากที่ปรากฏภาพวาดหมุน (Spin painting) ของ เดเมียน เฮิร์สต์

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) ในฉากที่ปรากฏผลงานชุด Biopsy Series ภาพวาดเนื้อเยื่อของคนเป็นโรคร้ายที่ถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่ถูกขยายในขนาดใหญ่ ของ เดเมียน เฮิร์สต์ ที่เคยแสดงในแกลเลอรี White Cube ในปี 2007

ที่สำคัญ ด้วยความที่เป็นอดีตคนในวงการ ทำให้ตัวหนังได้ เดเมียน เฮิร์สต์ ซี้เก่าของ มอยนาแฮน มารับหน้าที่เป็น “Art Curator” หรือ “ผู้คัดสรรงานศิลปะ” ให้กับหนังเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยงานศิลปะชื่อดังของเหล่าบรรดาเซเลปซุปตาร์ในวงการศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานของศิลปินกลุ่ม YBA อย่าง พี่น้องแชปแมน (Jake and Dinos chapman), เทรซี เอมิน, แกรี ฮิวม์, เกวิน เทิร์ก (Gavin Turk), ไมเคิล แลนดี (Michael Landy), ซาราห์ ลูคัส (Sarah Lucas), เจนนี ซาวิลล์ (Jenny Saville), ทิม โนเบิล และ ซู เว็บสเตอร์ (Tim Noble & Sue Webster) จอน์น เคอร์ริน (John Currin) รวมถึงผลงานของศิลปินผู้บุกเบิกยุคโมเดิร์นอย่าง คอนสแตนติน บรังคูซี (Constantin Brancusi) และผลงานของ ฟรานซิส เบคอน รวมถึงเจ้าพ่อป๊อปอาร์ตอย่าง แอนดี้ วอร์ฮอล และศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังอย่าง แบงก์ซี (Banksy) แน่นอนว่าต้องมีผลงานของ เดเมียน เฮิร์สต์ อยู่หลายชิ้นในเรื่องนี้ด้วย (ไหน ๆ ก็เป็นคนเลือกงานแล้วนี่เนอะ จะเลือกงานตัวเองก็เห็นจะไม่เสียหายอะไรชิมิ?) ทั้งผลงานภาพวาดหมุน (Spin Painting, 1992) และผลงานชุดเนื้อเยื่อ (Biopsy Series, 2007) ของเขาอีกด้วย

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) ในฉากที่มีภาพวาดของมงเดรียนที่ทำขึ้นมาใหม่

Broadway Boogie-Woogie (1943) ภาพวาดของมงเดรียนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผังเมืองแบบตารางของแมนฮัตตัน และดนตรีบูกี้ วูกี้ ที่เขาชื่นชอบ

และนอกจากชื่อของหนังและนิยายหยิบยืมมาจากภาพวาดของจิตรกรชาวดัชต์ พีท มงเดรียน (Piet Mondrian) อย่าง Broadway Boogie-Woogie (1943) แล้ว ในหนังก็ยังมีภาพวาดเลียนแบบผลงานของมงเดรียนที่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของลิขสิทธิ์ให้จำลองขึ้นมาถ่ายทำในหนังโดยมีข้อแม้ว่าต้องทำลายทิ้งหลังจากถ่ายทำเสร็จ

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) และ Trust Me, 2011 ผลงานศิลปะที่ทำจากหลอดไฟนีออนดัดเป็นถ้อยคำที่เปิดเผยความรู้สึกในใจ ของ เทรซี เอมิน กับตัวละครเจ้าของแกลเลอรี/นักค้างานศิลปะตัวแสบในหนัง

ถึงแม้ตัวหนังเองจะประกาศในตอนท้ายว่าตัวละครในหนังทั้งหลายแหล่ที่เห็นนั้นไม่ได้ตั้งใจให้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ทั้งยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ถ้ามันเหมือนใครก็เป็นเหตุบังเอิญ (แหม่) แต่ตัวละครทั้งหลายก็น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากบุคคลจริงในวงการศิลปะร่วมสมัยนั่นแหละ ทั้งตัวละครเจ้าของแกลเลอรี/นักค้างานศิลปะตัวแสบในหนังที่สวมแว่นกรอบดำหนาเสื้อผ้าทรงผมและบุคลิกพิมประภายคล้ายกับ เจย์ จอปลิง แห่งแกลเลอรี White Cube ยังไงยังงั้นเลย

ส่วนศิลปินเลสเบี้ยนสาวที่ทำวิดีโออาร์ตในหนังนั้นก็น่าจะได้แรงบันดาลใจมากจากศิลปินสาว เทรซี เอมิน ผู้โด่งดังจากการทำงานศิลปะตีแผ่ชีวิตและความสัมพันธ์ส่วนตัวของตัวเองต่อสาธารณชนนั่นแหละนะ

ภาพจากหนัง Boogie Woogie (2009) ในฉากที่ล้อเลียนงานศิลปะของ เดเมียน เฮิร์สต์ อย่างแสบไส้

ส่วนพ่อยอดชายนาย เดเมียน เฮิร์สต์ นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะถูกพูดถึงและหยิบยกงานมาโชว์ในหนังอย่างโจ่งแจ้งแดงแจ๋ (ซึ่งผลงานศิลปะของเขาที่เห็นอยู่ในหนังก็เป็นของจริงแทบทุกชิ้น) รวมถึงถูกหยิบมาล้อเลียนเสียดสีอย่างครื้นเครง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉาก “เนื้องอกแฝดปิศาจ” ของตัวละครในหนังที่ถูกเอามาทำเป็นงานศิลปะโชว์ความตายสไตล์เฮิร์สต์ ๆ นั้นเรียกได้ว่าแสบทรวงไปถึงเครื่องในตับไตไส้พุงกันเลยทีเดียว

ขอบอกเลยว่าใครที่อยู่ในวงการศิลปะร่วมสมัยหรือสนใจใคร่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมัน โดยเฉพาะเรื่องฉาว ๆ คาว ๆ ฉาวโฉ่ และแสบสันต์แล้วล่ะก็… ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!

ข้อมูล/ภาพจาก เว็บไซต์ http://goo.gl/77feIK, http://goo.gl/EAOttc, http://goo.gl/BNTZJR

#Xspace #artgallery #artist #collector #art #movie #boogiewoogie #dannymoynihan #novel #duncanward #gallery #gagosian #whitecube #artcurator #jakeanddinoschapman #traceyemin #garyhume #YBA #gavinturk #michaellandy #sarahlucas #jennysaville #timnobleandsuewebster #johncurrin #constantinbrancusi #francisbacon #andywarhol #banksy #spinpainting #biosyseries #inspiration #แรงบันดาลใจจากงานศิลปะ

.

.

.

Art Behind Film เป็นคอลัมน์ที่นำเสนอแรงบันดาลใจจากงานศิลปะที่เบื้องหลังหนังเรื่องต่างๆ โดย ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คอลัมนิสต์ศิลปะแห่งมติชนสุดสัปดาห์ เจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊ก ART IS ART, ART IS NOT ART อะไร (แม่ง) ก็เป็นศิลปะ และ INSIDE ART, OUTSIDE ART ข้างนอกข้างในอะไร (แม่ง) ก็ศิลปะ ที่เล่าเรื่องราวศิลปะด้วยลีลาอ่านง่าย ไม่ต้องปีนกระได ติดตามได้ทุกวันอาทิตย์ใน Xspace

.

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะและงานสร้างสรรค์ที่สนุกสนานและน่าสนใจได้ที่ Xspace

▪️Official Line : @xspace or click https://lin.ee/IoAkEaF

▪️Facebook : Xspace

▪️Twitter : twitter.com/Xspaceart

▪️Instagram : instagram.com/Xspaceartgallery

▪️Pinterest: https://pin.it/5eLSb64






More to explore