Talk with Artist
ศิลปินภาพถ่ายผู้มองโลกด้วยสายตาละเอียดอ่อน ศุภชัย เกศการุณกุล
ถ้าใครยังพอจะจำ Open นิตยสารน้ำดีที่นำเสนอเรื่องราวหลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม ดนตรี ไปจนถึงเรื่องราวในแวดวงบันเทิงที่ไม่ขาดสาระ ก็อาจจะพอจำภาพถ่ายพอร์ทเทรตขาวดำสวย ๆ บนปกนิตยสารฉบับนั้นได้บ้าง ก็คงจะพอรู้ว่าเหล่านั้นเป็นผลงานของศิลปินภาพถ่ายที่มีชื่อว่า ศุภชัย เกศการุณกุล
ต่อมาเขาได้บินลัดฟ้าไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนไกลโพ้นอย่างฝรั่งเศสอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับมาออกหนังสือรวมภาพถ่ายและนิทรรศการแสดงภาพถ่ายที่บันทึกห้วงเวลาอันอวลไออารมณ์ของเมืองหลวงแห่งแดนน้ำหอมได้อย่างมีเสน่ห์และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่ง
ในโมงยามต่อมา ช่างภาพหนุ่มคนนี้ หันเหเลนส์จากการถ่ายภาพบุคคลไปค้นหาร่องรอยบนพื้นผิวที่ผ่านกาลเวลาของตึกรามบ้านช่องและสิ่งของวัสดุสารพัดสารเพในถิ่นเกิดเมืองนอน และบันทึกมันออกมาเป็นภาพที่สวยงามแปลกตาอย่างน่าอัศจรรย์จนเรา ๆ ท่าน ๆ อาจนึกไม่ถึงว่ามันเป็นสิ่งที่เห็นจนชินตาทุกวี่วัน
ในปี 2008 ศุภชัยเปิดบริษัท Momoest เพื่อจำหน่ายภาพถ่ายในคอลเลคชั่นที่สร้างขึ้นหลังจากเดินทางกลับจากปารีส โดยมีคอลเลคชั่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ภาพถ่ายทั้งหมดยังคงบันทึกผ่านฟิล์มด้วยกล้องมีเดียมฟอร์แมทและ 135 มิลลิเมตร เพราะยังคงหลงใหลในสุนทรียภาพของเกรนฟิล์มและสีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผลงานของศุภชัยมีมุมมองที่เน้นความเป็นศิลปะมากกว่าจะเป็นภาพถ่ายเชิงพาณิชย์ เขาสร้างคอลเลคชั่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้เขายังทำงานภาพถ่ายพอร์ตเทรตพร้อมความเรียง ซึ่งเป็นงานที่ศุภชัยทำงานออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มทำงานนิตยสาร และต่อมาพัฒนามาเป็น Film Essay ที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านความคิดของเขาด้วยภาพเคลื่อนไหวนั่นเอง
ในครั้งนี้ ศุภชัยกำลังจะเป็นศิลปินคนแรกที่จัดนิทรรศการแสดงเดี่ยวใน Xspace มาร่วมกันรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผลงานในนิทรรศการและแรงบันดาลใจจากเขาไปพร้อมๆ กันเถอะ
Xspace:
นิทรรศการที่จะจัดขึ้นที่ Xspace มายังไง
ศุภชัย:
นิทรรศการนี้เป็นงานภาพถ่าย Abstact ที่ถ่ายมาตั้งแต่ปี 2008 ตอนนั้นกลับมาจากปารีส เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองในกรุงเทพฯ ก็ไปถ่ายภาพแถวๆ เยาวราช ได้ภาพมาชุดหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นภาพ Abstract เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาพ ซึ่งผิดจากสิ่งที่เราเคยทำมา สมัยก่อนเราถ่ายภาพ Portrait กับถ่ายสารคดีมาตลอด ก็เลยเกิดความคิดว่างานเราดีพอหรือเปล่า? เกิดคำถามกับตัวเอง ก็เลยเอางานไปให้คุณสุวรรณ (คงขุนเทียน) ดู คุณสุวรรณก็บอกว่า เฮ้ย งานแบบนี้ทันสมัยมาก! ตอนนั้นตั้งแต่ปี 2008 นะ เป็นสิ่งที่มีน้อยในเมืองไทย เขาเลยบอกว่า คุณลองเอาไปจัดนิทรรศการดูสิ เพราะว่าพวก Interior designer อาจจะสนใจกัน คือเขามองไปในเชิง Commercial ด้วย เราก็เลยแสดงนิทรรศการภาพถ่าย Abstract ที่เกษรพลาซ่า ชื่อ “A walk to Remember” เพราะจากภาพถ่ายชุด เยาวราช เราก็ขยายพื้นที่ออกไปในที่ที่เราเคยไปชีวิตอยู่ เช่น บางรัก, ท่าพระจันทร์, บางลำภู คอลเล็คชั่นภาพถ่ายชุดนี้ก็เลยขยายตัวไปเรื่อยๆ ตอนแสดงที่เกษรพลาซ่า ได้ผลตอบรับดีมาก งานขายได้หมด หลังจากนั้นเราก็ตั้งบริษัทชื่อ Momoest เพื่อขายงานภาพถ่ายและนำเอาภาพถ่ายไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสามมิติเช่น ผ้าพันคอ ปลอกหมอน และเฟอร์นิเจอร์
Xspace:
เห็นว่าไปออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ด้วย
ศุภชัย:
ใช่ ออกงานแฟร์อย่างงาน BIG งาน TIFF อย่างภาพถ่ายที่เอาไปทำเป็นโต๊ะ นี่ได้รางวัล Design Awards ของ Wallpaper* Thailand ด้วย หลังจากนั้นทำงานอยู่สองแบบมาตลอด คืองาน Commercial กับ งานศิลปะ ทั้งานที่เป็น Portrait และก็งาน Abstract งานที่จะเอามาแสดงในนิทรรศการนี้เป็นงานที่เราสั่งสมมากว่า 10 กว่าปี คิดว่าถึงจุดที่พร้อมจะนำมาแสดงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานภาพถ่าย Abstract เพราะตอนเราแสดงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 ก็ยังไม่ได้เอามาแสดงอีกเลย
Xspace:
หลังจากแสดงครั้งแรกก็ยังที่ทำงานต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
ศุภชัย:
ใช่ ก็ทำเป็น Landscape ที่เป็น Abstract บ้าง แล้วก็ภาพของพื้นผิวของอาคารและวัตถุที่เราพบในพื้นที่ต่างๆ บ้าง เพราะเราคิดว่ารสนิยมของสีขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เราไปถ่ายภาพ ส่วนใหญ่เราก็จะถ่ายภาพในพื้นที่ชุมชน หรือพื้นที่อยู่อาศัยต่างๆ
Xspace:
เหมือนเป็นการบันทึกสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน?
ศุภชัย:
ใช่ อย่างคนในภาคเหนือกับคนที่อยู่ภาคที่ติดทะเล รสนิยมการใช้สีจะไม่เหมือนกัน หรือในประเทศที่แตกต่างกัน การใช้สีสันก็ยิ่งแตกต่างกันออกไปอีก อย่างเช่นในยุโรปกับในเอเชีย ในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้เดินทางไปในประเทศต่างๆ ซึ่งเราก็มองหาพื้นผิวที่มีความเป็น Abstract หรือการใช้สีสันในวัตถุในพื้นที่ต่างๆ
Xspace:
ไม่ใช่ภาพถ่ายพื้นผิวและวัตถุในประเทศไทยอย่างเดียว?
ศุภชัย:
ใช่ แล้วนิสัยเราก็คือ เราจะไม่ตั้งชื่อภาพที่ในเชิงจินตนาการ แต่จะตั้งชื่อภาพว่าเราถ่ายภาพจากพื้นที่ไหน เพื่อที่จะบอกคนดูได้ว่าสีแบบนี้ถูกใช้ที่ไหน ในบริเวณแบบใด
Xspace:
ฟังดูคล้ายกับภาพถ่ายเชิงสารคดี (Documentary photography) เหมือนกันนะ
ศุภชัย:
เรียกว่าเป็นกึ่งๆ สารคดีดีกว่า เพราะว่าพื้นฐานของเราคือ Photojournalist ที่มาทำงาน Photography Art
Xspace:
เวลาคนเราเห็นวัตถุต่างๆ ในตอนแรกมักจะมองเป็นรูปธรรม คือเห็นว่าเป็น เป็นไม้ เป็นเหล็ก เป็นน็อต เหล็กเส้น เป็นผนัง กำแพง ฯลฯ อะไรทำให้คุณมองเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรม (Abstract) ขึ้นมา
ศุภชัย:
คนดูหลายคนมักจะถามเราว่า รูปนี้เราถ่ายอะไรมา เราก็ตอบไปว่า ถ้าเราบอกไป ภาพถ่ายก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของมันนะ เพราะความเป็น Abstract ไม่ได้เรียกร้องให้คุณใช้เหตุผลไปค้นหาว่ามันเป็นบางอย่างที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่ภาพแสดง
Xspace:
เราสามารถชื่นชมได้โดยไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นภาพของอะไร
ศุภชัย:
ใช่ โดยเฉพาะตอนที่เราดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นภาพของอะไร แต่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเราได้
Xspace:
ตอนถ่ายภาพ คุณจงใจปิดบังไม่ให้ผู้ชมรู้ว่าคือภาพของอะไรไหม
ศุภชัย:
ไม่นะ ตอนถ่ายภาพเราไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้รู้หรือไม่ให้รู้ว่าคืออะไร แต่เราสนุกไปกับ สี พื้นผิวและ องค์ประกอบของภาพมากกว่า เราสนใจจังหวะขององค์ประกอบ และน้ำหนักของวัตถุต่างๆ ที่ทำงานกับเราตอนนั้น ซึ่งน่าแปลกตรงที่ บางวันเราก็เห็น บางวันเราก็ไม่เห็น
Xspace:
หมายถึงสถานที่ และวัตถุเดียวกัน?
ศุภชัย:
ใช่ อย่างระยะหลังนี้เรากลับไปที่เดิม ก็มองไม่ค่อยเห็นแล้ว พยายามมองก็ไม่เห็น เพราะเราคิดว่ามันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราต้องการในชีวิตของเราในแต่ละช่วงด้วย
Xspace:
ความต้องการที่ว่าหมายถึงอะไร?
ศุภชัย:
คือตอนนั้นเราบ้าเรื่องสี เรื่ององค์ประกอบ ดังนั้น เมื่อเราอยากจะเห็นมัน เราก็จะเห็น แต่ตอนนี้ความสนใจในชีวิตมันเปลี่ยน จุดสนใจเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
Xspace:
ก็เลยมองสิ่งเหล่านั้นไม่เห็นแล้ว
ศุภชัย:
สิ่งที่มองก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้น งานที่เราทำแต่ละชุดก็คือช่วงเวลาของความสนใจของเรา ซึ่งงาน Abstract ในระยะหลัง เราก็ทำน้อยลงเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวล เราก็ยังถ่ายภาพด้วยฟิล์มเหมือนเดิม
Xspace:
ทำไมถึงชอบถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีของกล้องดิจิทัลก็พัฒนามากแล้ว ใช้กล้องดิจิทัลไม่สะดวกกว่าเหรอ
ศุภชัย:
คงด้วยวิธีการทำงานละมั้ง ที่เราสนุกกับมัน สนุกกับการรอ สนุกกับ error (ข้อผิดพลาด) ของมัน สนุกกับชนิดของฟิล์ม สนุกกับสิ่งที่ฟิล์มเห็น แต่เราไม่เห็น
Xspace:
อะไรคือสิ่งที่ฟิล์มเห็นแต่เราไม่เห็น
ศุภชัย:
สีบางสี ฟิล์มเห็นแต่เราไม่เห็น แต่บางสีฟิล์มก็ไม่เห็น แต่เราเห็น มันคือการทำงานร่วมกันระหว่างตัวเรากับฟิล์ม
Xspace:
หมายความว่าสิ่งที่เราถ่ายมามันไม่ได้เป็นอย่างที่เรามองเห็นหรือ? บางคนบอกว่าการถ่ายภาพบันทึกช่วงเวลาความจริงในห้วงขณะนั้นเอาไว้ อย่างจิตรกรในยุคสมัยใหม่บางคนที่เลิกวาดรูปเหมือน เพราะว่าภาพถ่ายทำหน้าที่บันทึกความจริงได้หมดแล้ว แต่พอคุณพูดแบบนี้ แสดงว่าความเป็นจริงจากภาพถ่ายก็ไม่ใช่ความเป็นจริงอย่างที่ตาเราเห็นใช่ไหม?
ศุภชัย:
ถ้าพูดถึงความเป็นจริงที่บอกว่า มีคนอยู่ตรงนั้น หรือว่ามีวัตถุ สิ่งของ สถานที่ หรือเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงนั้นน่ะใช่ แต่มันก็ผ่านการ Framing ชั้นหนึ่งก่อนอยู่ดี เพราะฉะนั้น ความจริงที่ว่าก็ถูกคัดเลือกมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ในเรื่องเทคนิคเนี่ย ยกตัวอย่างเช่น ความจริงของสี เราบอกว่า สีแดง ถ้าเอาไปเทียบกับ pantone เบอร์นี้ สีนี้ แต่ในเมื่อสีผ่านอุณหภูมิของแสง ผ่านชนิดของฟิล์ม ผ่านเลนส์แต่ละยี่ห้อ ผ่านเคมีที่ Develope ภาพ ผ่านการสแกน สีที่ถูกถ่ายทอดอออกมาก็ถูกบิดเบือนมาตั้งแต่กระบวนการเหล่านั้นแล้ว อันนี้คือพูดในเชิงเทคนิคนะ แล้วพอเวลามันผ่านไป เราปรับสี ปรับคอนทราส เสร็จแล้วเอาไป Print ในกระดาษที่ต่างกัน ด้วยหมึกยี่ห้อต่างกัน ด้วยความจำของสีของเราเอง แน่นอนปลายทางกับต้นทางก็ไม่เหมือนกันหรอก แต่ถามว่ามีสิ่งนี้อยู่ตรงนั้นไหม มีอยู่จริง
Xspace:
เหมือนความจริงอีกแบบที่เราถ่ายทอดออกมา?
ศุภชัย:
ใช่ เป็นความจริงที่ถูกถ่ายทอดมาอีกที จะโดยบังเอิญ หรือโดยความตั้งใจก็ตาม
Xspace:
เพราะฉะนั้นรูปธรรม (Factual) ก็สามารถกลายเป็นนามธรรม (Abstarct) ได้
ศุภชัย:
ใช่
Xspace:
สำหรับคุณ ในฐานะช่างภาพ นามธรรม คืออะไร
ศุภชัย:
นามธรรม คือความรู้สึก คืออรารมณ์ คือจินตนาการ สำหรับการถ่ายภาพ มีคนที่เก่งๆ บางคนบอกว่า ภาพถ่ายคือการถ่ายทอดนามธรรมให้เป็นรูปธรรม รูปถ่ายพูดในสิ่งที่ตัวอักษรไม่สามารถพูดได้ ตั้งเป็นหมื่นเป็นล้านคำใช่ไหม? อันนี้คือนามธรรม ซึ่งมันก็แล้วแต่ว่า ใครจะตีควาหรือรู้สึกไปยังไง จากประสบการณ์ของตัวเอง
Xspace:
ถึงแม้จะใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือกลไกในการถ่ายภาพ แต่คนช่างภาพก็สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองลงไปในภาพถ่ายได้?
ศุภชัย:
ใช่ อย่างการใช้น้ำหนัก หรือcontrast ก็พูดแล้ว ภาพไหนเราอยากถ่ายให้ออกมาเทาๆ ไม่มีน้ำหนักเลย ก็พูดอารมณ์หนึ่ง ในรูปเดียวกัน ถ้าใช้ contrast เพิ่มขึ้น ก็จะมีประโยคและน้ำเสียงต่างกัน
Xspace:
เหมือนกับที่จิตรกรใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไปในฝีแปรง?
ศุภชัย:
หรือสีที่เขาผสม พู่กันที่ใช้ต่างเบอร์กัน หรือน้ำหนักมือของเขา ก็คือแบบเดียวกันนั่นแหละ
Xspace:
นิทรรศการในครั้งนี้นำเสนอเกี่ยวกับอะไร
ศุภชัย:
เราอยากนำเสนอสิ่งที่เราสนใจ และสิ่งที่เราทำมาตลอด ก็คืองานภาพถ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพถ่าย Abstract นอกจากนี้ยังอาจจะรวมผลงานในรูปแบบอื่น อย่างภาพถ่ายพอร์ตเทรต หรืองานภาพเคลื่อนไหวที่เป็น Film Essay
นอกจากถ่ายภาพเรายังเขียนหนังสือด้วย ทำให้เรารู้ว่างานศิลปะในแต่ละลักษณะ มีวิธีการเล่าเรื่องคนละแบบ และมันเล่าแทนกันไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ภาพถ่ายพอร์ตเทรต ถ้าเปรียบเทียบกับการเขียนก็คือการ Quote คําพูด ที่ไม่มีที่มาที่ไป ถ้าคนที่ไม่รู้จัก ไม่ผูกพันกับคนที่อยู่ในภาพ ก็จะไม่รู้ว่าเขาหรือเธอเป็นใคร ดังนั้นเราเลยทำงานเขียนประกอบภาพถ่าย การเขียนคือการบอกว่าคนๆ นี้เป็นใคร ให้คนรู้จักพื้นเพของ งานศิลปะเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งในทะเล ยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำออกมาคือภาพถ่ายพอร์ตเทรต แต่คุณจะรู้ว่ายอดภูเขาน้ำแข็งนี้ใหญ่โตแค่ไหน หรือมีความสำคัญเพียงใด คุณต้องแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้ การแสดงสิ่งที่อยู่ข้างใต้ คือการเล่าเรื่องผ่านงานเขียน แต่ทั้งสองอย่างนี้ ก็เล่าด้วยภาษาของเรา เราเลยต้องการงานภาพยนตร์เข้ามาช่วย ซึ่งงานภาพยนตร์เปรียบเหมือนการที่คุณพายเรือไปใกล้ๆ ภูเขาน้ำแข็งนั้น ได้สูดดมกลิ่น รู้สึกถึงความเย็นของมัน เพราะงานภาพยนตร์เปิดโอกาสให้คนที่เราถ่ายภาพหรือคนที่เราเขียนถึงได้พูดออกมาด้วยตัวเองและมีน้ำเสียงของเขาอยู่ในนั้น
Xspace:
เหมือนเป็นการนำเสนอตัวตนของเขาจริงๆ ?
ศุภชัย:
ใช่ ในภาพพอร์ตเทรตที่เป็นภาพนิ่งหรืองานเขียนไม่มีเสียงของคนที่ถูกถ่ายภาพอยู่ในนั้น แต่เป็นเสียงของเขาผ่านเสียงการนำเสนอของเราอีกที เหมือนเป็นการถ่ายทอดและตีความใหม่ของเรา แต่งานภาพยนตร์อนุญาตให้คนเหล่านั้นพูดด้วยนำ้เสียง จังหวะ และอารมณ์ของเขาเอง
Xspace:
ทราบมาว่าก่อนหน้านี้คุณเองก็เรียนภาพยนตร์ด้วย
ศุภชัย:
ใช่ เราดูภาพยนตร์และสนใจภาพยนตร์มาตลอด แต่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำเพราะว่าสมัยก่อนกว่าจะทำภาพยนตร์สักเรื่องเป็นอะไรที่ยากมาก ต้องมีทุนเยอะ ต้องมีทีมงานเยอะ แต่ว่าตอนนี้เทคโนโลยีช่วยเราได้เยอะ แต่ในทางกลับกัน ก็ทำให้งานภาพถ่ายของเราด้อยค่าลงเหมือนกันนะ เพราะพออะไรที่ทำง่ายขึ้น มันก็ไม่ต้องการผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น พอไม่ต้องการผู้เชียวชาญ ความสำคัญของช่างภาพอย่างเราก็น้อยลงตามไปด้วย แต่ในอีกแง่หนึ่ง เทคโนโลยีเดียวกัน ก็ทำให้เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด และสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ต้องพึ่งพาทีมงาน ไม่ต้องใช้ทุนมากมายมหาศาล
Xspace:
ใช้กล้องตัวเดียวก็ถ่ายทำได้แล้ว
ศุภชัย:
ใช่ สมัยก่อนถึงคุณจะมีเงินซื้อกล้อง มีเงินซื้อฟิล์ม มีเงินล้างแต่ยังไงคุณก็ต้องเข้าห้องตัดต่อ ต้องทำเทเลซีน (กระบวนการถ่ายโอนภาพเคลื่อนไหวจากฟิล์มลงสู่วิดิโอ) แต่สมัยนี้เราตัดต่อเองคนเดียวได้เลย ในแง่หนึ่ง การก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำลายวิชาชีพเรา แต่ก็เปิดประตูบานใหม่ให้เราด้วย
คือตอนกล้องดิจิทัลเริ่มเข้ามา เรายังพออยู่ได้นะ เพราะเราถ่ายงานด้วยกล้องฟิล์มมาตลอด ตอนที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ต มีพวกสำนักข่าวออนไลน์ เราก็ยังสามารถทำงานด้วยฟิล์มได้ เพราะเราจัดการเวลาได้ แต่พอมา 2 - 3 ปีให้หลังนี่เริมไม่ไหวแล้ว เพราะว่าเทคโนโลยรก้าวไปไกลมากจนเราตามไม่ทัน
Xspace:
ตอนนี้ใครๆ ก็สามารถถ่ายรูปสวยได้โดยไม่ต้องเป็นมืออาชีพ ด้วยเทคโนโลยีกล้องในสมาร์ทโฟน
ศุภชัย:
ถูก แต่ว่าเมื่อนำภาพถ่ายเหล่านี้มาแสดงในนิทรรศาร คุณจะเห็นว่าคุณภาพของฟิล์มเป็นยังไง เพราะถ้าเป็นฟิล์มเราจะเห็น Grain (เม็ดสี) ที่เป็นสเน่ห์ของงานฟิล์ม ที่เราใช้ฟิล์มมาตลอด ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ เพื่อการพิมพ์ภาพลงบนกระดาษขนาดใหญ่
Xspace:
แต่ถึงคุณจะถ่ายภาพด้วยฟิล์มละล้างฟิล์ม แต่ในท้ายที่สุดคุณก็ต้องสแกนฟิล์มลงคอมพิวเตอร์ แล้วพิมพ์ออกมาด้วยพรินเตอร์อยู่ดีไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะต่างกันยังไงล่ะ
ศุภชัย:
เราว่าเป็นความพึงพอใจมากกว่า ถึงในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีจะทำได้หมดทุกอย่างแล้วก็ตาม ถ้าให้เปรียบเทียบกับอาหารคงจะเห็นภาพได้ชัดน่ะ ถ้าคุณกินอาหารที่ตุ๋นด้วยระยะเวลาพอเหมาะ กับคุณไปใช้หม้อแรงดันเร่งมัน ความอร่อยก็จะออกมาคนละแบบ ตอนอยู่จันทบุรีนะ เรากินทุเรียนที่สุกบนต้นตามเวลาของธรรมชาตินี่ อร่อยกว่ากินทุเรียนที่ตัดมาก่อนแล้วเอามาบ่มมากๆ นะ ถ้าคนมีความละเอียดอ่อนประมาณนึง และมีรสนิยมประมาณนึงจะเข้าใจได้ แต่ถ้าใครไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ไม่ได้ซาบซึ้งกับอะไรแบบนี้ ก็คงไม่มีความสำคัญอะไรกับเขา
จะว่าไป การที่เราสแกนฟิล์ม ก็เป็นความก้ำกึ่งของการปรับตัวระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่นะ
เราชอบการผสมผสานระหว่างเทคนิคเก่ากับเทคนิคใหม่ เราว่ามันน่าสนใจดี คือเราว่าตัวเราก็ไม่เชย แต่ก็ไม่ทันสมัยเกินไป เราเคยคุยกับแฟนว่า เราชอบหนัง Star Wars ตรงที่มันมีความเป็นอนาคตจัดๆ ผสมกับงานออกแบบและสถาปัตยกรรมยุคเก่าๆ เหมือนมียานบินมาจากอวกาศ แต่มีอาคารพระราชวังเหมือนในเหมือนในอิสตันบูลเราชอบอารมณ์ผสมผสานอะไรแบบนี้
Xspace:
เหมือนกับการทำงานของคุณ
ศุภชัย:
ใช่ เราว่าเรามาจากโลกเก่าที่เป็น Old School แต่เราก็เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ บางส่วน ในขณะเดียวกันเราก็ยังคงเก็บรักษาสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาและนำมาใช้ด้วย
Xspace:
ชื่อ Rough ของนิทรรศการครั้งนี้หมายถึงอะไร
ศุภชัย:
คือความดิบ, ความหยาบ, ความซื่อตรง คือความเคารพในตัวตนของสิ่งที่เราถ่าย แสดงถึงแก่นแท้ของวัตถุเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด หรือแม้แต่ภาพถ่ายพอร์ตเทรต เราก็ทำแบบนี้ คือเราจะไม่ไปควบคุมบงการคนที่เป็นแบบให้เราถ่ายภาพ เขาอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้เป็นตัวเขาเอง ซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น เช่าถ้าเขาอยากจะนั่งแบบนี้ อยากทำตัวแบบนี้ อยากแต่งตัวแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเขาต้องมาเจอการสัมภาษณ์ ต้องมาถูกถ่ายภาพ แล้วเขาอยากนำเสนอตัวเองแบบนั้น เราก็ต้องถ่ายไปแบบนั้นไง อีกอย่าง เราชอบการไปถ่ายภาพของคนเหล่านั้นในพื้นที่ของเขา เพราะมันคือตัวตนของเขา มันคือ “Rough” คือการไม่ถูกปรุงแต่งด้วยสิ่งแวดล้อมแบบอื่น แต่เป็นสิ่งแวดล้อมของเขาเอง เช่นเดียวกับภาพ Abstract เราก็ไม่ได้ปรับสีจากสีแดงให้กลายเป็นสีชมพู เราไม่ได้ทำแบบนั้น เราก็ยืนยันให้สีคงเดิมในความทรงจำที่เรามี เช่นเดียวกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเราก็ยึดแนวทางแบบสารคดี
Xspace:
ไม่ต่อเติมเสริมแต่ง?
ศุภชัย:
ถ้าในแง่ขององค์ประกอบ ในแง่ความงาม เรามีแต่เอาออก ไม่เอาเข้า หมายความว่าถ้าเราจัดวางเฟรมเสร็จแล้วมีบางอย่างที่กวนสายตา เราก็เอาออก แต่สิ่งที่คงอยู่แล้วไม่กวนสายตา ก็ให้คงอยู่ต่อไป เราจะไม่เอาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขาใส่เข้าไป
Xspace:
เอาออกหมายถึงอะไร รีทัชออกไปเหรอ?
ศุภชัย:
ไม่สิ เอาออกตอนถ่ายภาพเลย เราไม่รีทัชรูป ยกเว้นฝุ่น เพราะว่าการลบฝุ่นจำเป็น เพราะเวลาสแกนภาพจะมีฝุ่นอยู่
Xspace:
แล้วริ้วรอยเหี่ยวย่นล่ะ ไม่ลบเหรอ
ศุภชัย:
ไม่ลบ (หัวเราะ) มันคือตัวเขาไง คือถ้าเขาจะลบ เขาคงลบไปก่อนแล้ว เช่น แต่งหน้ากลบไป หันข้างให้เราอะไรอย่างงี้ เราเคยถ่ายภาพนักแสดงคนหนึ่ง พอพรินต์ออกมาแล้วสามีของเขาไม่ชอบ เพราะมีรอยตีนกา เขาถามว่าเราทำไมไม่ลบ แต่พอกลับไปเจอเขาอีกทีตอน 4 - 5 ปีที่แล้ว เขาบอกว่าในบรรดารูปถ่ายของเขา เขาชอบนี้ที่สุด
สำหรับเรา ภาพถ่ายไม่ได้ทำงานเดี๋ยวนั้นไง มันทำงานผ่านเวลา ยิ่งเวลาผ่านไป ภาพถ่ายจะยิ่งมีค่า ซึ่งเป็นคำอธิบายว่าทำไมคนถึงไม่ให้ความสำคัญกับภาพถ่ายในตอนนี้ เขาจะมาพูดทีหลังว่า รู้อย่างนี้ผมให้คุณถ่ายตั้งแต่แรกแล้ว
Xspace:
ถึงตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว
ศุภชัย:
เออ! ไม่ทันแล้วไง เพราะอย่างที่บอกว่ารูปถ่ายมันทำงานผ่านเวลา
Xspace:
มันต้องทำเวลานั้น ถึงจะมีค่าในเวลานี้?
ศุภชัย:
ใช่ มันต้องทำตอนนั้น ซึ่งเขาไม่ให้คุณค่า แต่มันจะมีคุณค่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว
Xspace:
แต่คนเราก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้
ศุภชัย:
ทุกคนเป็นแบบนี้หมดแหละ รู้อย่างนี้ถ่ายรูปไว้เยอะๆ ก็ดี รู้อย่างนี้น่าจะถ่ายแบบคุณภาพดีไปเลย ก็ดี สิ่งนี้เป็นปมด้อยอย่างหนึ่งของภาพถ่าย อย่างที่บอก มันต้องผ่านกาลเวลา ไม่เหมือนอาหาร ที่กินแล้วรู้รสทันทีเลย
ก็เหมือนกับงานจิตรกรรมแหละ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ กว่าจะดังก็ต้องรอหลังจากเขาตายไปหลายปี กว่าคนจะเห็นคุณค่า อย่างงานภาพถ่าย Abstract เนี่ย เวลาพิมพ์ออกมาแล้วดูเหมือนจิตรกรรม Abstract เราเคยเอางานชุดนี้ไปให้อาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร กับวิทยาลัยช่างศิลปดู เขาบอกนี่งานภาพพิมพ์ (Printmaking) เหรอ เราบอกว่า ไม่ใช่ คือภาพถ่าย เขาบอกว่า คุณภาพเหมือนภาพพิมพ์เลย
Xspace:
เวลาทำงานถ่ายภาพ โดยเฉพาะชุด Abstract นี่ได้ดูงานศิลปะเป็นแรงบันดาลใจบ้างไหม
ศุภชัย:
เราดูน้อยนะ เพราะว่าโดยพื้นฐานเรามาจาก Journalist โลกศิลปะที่เป็น Fine Art สำหรับเรานี่เป็นอีกโลกหนึ่งที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย แต่งานที่เราถ่ายบังเอิญไปคล้ายกับงาน Abstract ของ Fine Art แต่จริงๆ แล้ว ช่างภาพหลายคนก็มีงานภาพถ่ายที่เล่นเรื่องจังหวะ เรื่องสี องค์ประกอบ อยู่ในพอร์ตโฟลิโอทุกคนแหละ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ขยายออกมาให้เห็น เพราะช่างภาพทำงานด้วยสายตา ยังไงเขาก็ต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ว่ารสนิยม ความลึกซึ้ง หรือจังหวะเขาจะดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
Xspace:
ผลงานในนิทรรศการนี้ที่น่าสนใจอีกชุดคือภาพถ่ายผนังที่มีกระดาษที่ถูกฉีก ภาพนี้คืออะไร ถ่ายมาจากที่ไหนเหรอ
ศุภชัย:
ภาพชุดนั้นถ่ายที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี เป็นบอร์ดที่เขาปิดประกาศเลือกตั้งบ้าง โปสเตอร์ คอนเสิร์ตบ้างอะไรบ้าง
Xspace:
ลักษณะของงานชุดนี้คล้ายงาน Décollage* ซึ่งเป็นเทคนิคในการทำงานศิลปะของ ของกลุ่มศิลปิน Nouveau Réalisme* ในฝรั่งเศส คุณตั้งใจให้เชื่อมโยงถึงกันไหม
ศุภชัย:
ไม่นะ น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า เราก็รู้จัก Nouveau Réalisme แต่ไม่ได้นึกถึง ตอนถ่ายเราแค่คิดว่า เออ จังหวะมันดี สีลงตัวว่ะ ไม่อย่างงั้นก็คงไม่ถ่าย เรามีนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราเห็น อะไรแล้วไม่สวย เราก็ไม่ถ่าย เพราะว่าเราใช้ฟิล์มไง
Xspace:
เปลือง?
ศุภชัย:
เออ (หัวเราะ) คือเราจะถ่ายเฉพาะสิ่งที่เราคิดว่าสวยจริงๆ
Xspace:
ไม่ได้กดรัวๆ
ศุภชัย:
ไม่ (หัวเราะ) ไม่ได้กดเผื่อ ถ่ายเยอะเอาไว้ก่อน ไม่มี แต่สังเกตว่าถ้าวันไหนเราลองใช้กล้องดิจิทัลเนี่ย จะนิสัยเสียทันที
Xspace:
ทีนี้รัวเลย
ศุภชัย:
เออ (หัวเราะ) แล้วคุณภาพของภาพจะออกมาไม่ค่อยดี
Xspace:
ไม่ใช่ว่าถ่ายหลายๆ ภาพ อย่างน้อยก็ต้องออกมาดีสักภาพเหรอ
ศุภชัย:
ไม่มี มันจะออกมาขาดๆ เกิน ๆ อันนี้พูดถึงตัวเองนะ คนอื่นเขาอาจจะทำได้ดีกว่าเรา
Xspace:
เคยคุยกับช่างภาพที่ทำงานด้วยฟิล์ม เขาจะมีความละเอียดอ่อน ต้องวางเฟรมอย่างพิถีพิถันก่อนกดชัตเตอร์ เหมือนจิตรกรเวลาวาดรูป คุณเป็นแบบนั้นไหม
ศุภชัย:
ใช่ เพราะเราไม่ Crop ภาพนะ เราจะถ่ายเต็มเฟรม
Xspace:
รอให้องค์ประกอบมันลงตัวก่อนค่อยกดชัตเตอร์?
ศุภชัย:
ใช่ เหมือนเซนน่ะ เนิบช้า เล็งแล้วเล็งอีก ช่างภาพบางคนเขาพริ้นท์ภาพถ่ายให้ติดขอบเฟรมด้วย เพื่อให้เห็นเลยว่าไม่ได้ Crop ภาพ ซึ่งเราก็ทำ เพียงแต่เราไม่พริ้นท์ขอบเฟรม เพราะจะกวนรูป แต่ถ้าถ่ายให้ลูกค้าหรือเอาไปถ้าลงนิตยสาร เขาก็อาจจะเอาไป Crop ของเขาเอง แต่ถ้าเป็นงานส่วนตัวเราจะไม่ Crop ปล่อยเต็มเฟรม เหมือนการวาดภาพ
Xspace:
ตอนกดชัตเตอร์คุณคิดอะไรอยู่ในหัว
ศุภชัย:
คิดว่าภาพจะสั่นไหมวะ (หัวเราะ) คิดว่าจะคมชัดไหม เป็นเรื่องเทคนิคมากกว่า
Xspace:
เพราะการถ่ายฟิล์มเราไม่รู้ว่าภาพจะออกมาเป็นไง บางทีอาจจะเสียทั้งม้วนเลยใช่ไหม
ศุภชัย:
แรกๆ อาจจะเป็น แต่หลังๆ เราไม่เป็นละ เพราะว่าเราถ่ายฟิล์มมาตลอด และใช้ฟิล์มชนิดเดียว ใช้เลนส์ตัวเดียว ใช้กล้องตัวเดียวกันมา 20 กว่าปี เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
Xspace:
เคยถ่ายมาออกมาเสียไหม
ศุภชัย:
ไม่ค่อยมี ยกเว้นอุบัติเหตุจริงๆ อย่างเช่น กล้องเสีย เคยมีครั้งนึงตอนไปอยุธยา ถ่ายภาพแล้วฟิล์มเสียทั้งม้วนเลย เพราะว่าชัตเตอร์ไม่เปิด เราก็ไม่รู้ไง
Xspace:
แล้วทำยังไง
ศุภชัย:
ก็กลับไปถ่ายใหม่
Xspace:
แล้วถ่ายออกมาได้เหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรกไหม
ศุภชัย:
ไม่ได้หรอก
Xspace:
นี่คือความเสี่ยง?
ศุภชัย:
ใช่ เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ตลอด งานถ่ายภาพสมัยก่อนเลยต้องการความเป็นช่างเทคนิค ความเป็นผู้เชี่ยวชาญไง แต่เดี๋ยวนี้ถ่ายแล้วเห็นเลย ก็ไม่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญแล้ว แต่ว่าเรายังดำรงความเป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่ เพราะว่าเรายังคงทำกระบวนการเดิม
Xspace:
ถือเป็นการยึดติดไหม
ศุภชัย:
ไม่นะ เราสนุก ก็ถ้าเรายังสนุกอยู่ แล้วเราไปเปลี่ยนทำไม เราเคยลองไปทำเครื่องมืออื่นแล้วเราไม่สนุก
Xspace:
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองตามโลก?
ศุภชัย:
เราเคยลองใช้กล้องดิจิทัลตั้งแต่ยุคที่มันมาใหม่ๆ แต่ลองแล้วไม่ชอบไง
Xspace:
เพราะอะไร
ศุภชัย:
ไม่สนุก มันเห็นเลยน่ะ ไม่มีการรอคอย ไม่มีการคิดถึง ไม่มีอารมณ์แบบ รูปจะออกมาดีไหมวะ? รูปจะเป็นอย่างที่เราต้องการไหมวะ? ไม่มีอารมณ์เหมือนการรอโทรศัพท์แฟนสมัยก่อนน่ะ (หัวเราะ)
Xspace:
ว่าไปถึงความรักเลย
ศุภชัย:
เออ (หัวเราะ) สองทุ่มแล้วทำไมยังไม่โทรมา มันไม่มีอารมณ์แบบนี้ หรือเวลาส่งจดหมาย จะไปถึงหรือเปล่าหนอ? จดหมายเปียกน้ำไหมหว่า? แต่เดี๋ยวนี้ส่งไลน์ไปหา มันก็ขึ้นว่า Read หรือยังไม่ Read มันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นแล้ว
Xspace:
ความรู้สึกโหยหา?
ศุภชัย:
เออ ซึ่งเรายังชอบความรู้สึกแบบนั้นอยู่ไง ทุกครั้งที่เราดูรูป เราจะจำได้ว่าเราถ่ายที่ไหน Moment นั้นเป็นยังไง เพราะว่าการถ่ายรูปด้วยฟิล์ม เราจะต้องรอจนกว่าจะเห็นมันออกมาเป็นฟิล์ม เป็นภาพถ่าย แต่พอเวลาเราถ่ายกล้องดิจิทัลมันเห็นเลย มันเลยอยู่กับเราแค่ 2 - 3 วินาที แล้วก็จบกัน
Xspace:
แต่สุดท้ายก็ต้องเห็นภาพนั้นอยู่ดีไม่ใช่เหรอ
ศุภชัย:
ก็ใช่ แต่เรายืดเวลาออกไปไง
Xspace:
พูดถึงงานพอร์ตเทรตบ้าง การถ่ายภาพพอร์ตเทรตคุณต้องการนำเสนออะไรเกี่ยวกับคนที่ถูกถ่าย
ศุภชัย:
เราอยากบันทึกชีวิตของเขาเดี๋ยวนั้น ช่วงเวลาในห้วงขณะนั้น คอนเซ็ปต์ของภาพถ่ายคือการผ่านห้วงเวลา คือตั้งแต่เริ่มถ่ายพอร์ตเทรต เรามีความตั้งใจเสมอว่าภาพถ่ายของเราเราะอยู่ต่อไปอีก 50 ปี ถ้าคนนึกถึงคนๆ นี้ ก็จะนึกถึงภาพถ่ายของเรา เราอยากให้เป็นแบบนั้น
Xspace:
ตั้งแต่ถ่ายพอร์ตเทรตบุคคลมา มีใครประทับใจที่สุด
ศุภชัย:
โหย เยอะ อย่างคุณเสนีย์ เสาวพงศ์ เนี่ย ประทับใจมาก หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ (พอละจี รักจงเจริญ), ประทับจิต นีละไพจิตร ลูกสาวคุณสมชาย นีละไพจิตร
Xspace:
อะไรทำให้ประทับใจ
ศุภชัย:
ความเป็นมนุษย์ที่เราได้คุยกับเขา และได้มองเขาผ่านเลนส์ มีความแตกต่างอยู่เหมือนกันระหว่างการถ่ายภาพในฐานะช่างภาพแล้วมีนักเขียนไปด้วย กับการไปถ่ายด้วยตัวเอง เหมือนเราพูดคุยกับเขาผ่านล่าม กับเราพูดคุยสื่อสารกับเขาตรงๆ
Xspace:
เวลาไปถ่ายเองก็จะคุยกับคนที่ถูกถ่ายไปด้วย
ศุภชัย:
ใช่ เขาจะมีความใกล้ชิดกับเราเพิ่มขึ้นอีกหน่อย สังเกตว่าสมัยที่เราถ่ายภาพพอร์ตเทรตโดยมีนักเขียนไปด้วยนี่ ระยะห่างของเรากับคนที่ถูกถ่ายภาพจะไกลกันสักหน่อย แต่พอเราถ่ายภาพด้วย สัมภาษณ์เองไปด้วยในระยะหลัง ระยะห่างระหว่างเรากับคนที่ถูกถ่ายภาพจะใกล้ขึ้น เป็นความสัมพันธ์เชิงความไว้ใจ แล้วการใช้ฟิล์มทำให้เรามีเวลากับคนที่ถูกถ่ายภาพมากขึ้น เขาต้องรอเราปรับโฟกัส ทำให้เขามีสมาธิกับเรา พอเราถ่ายได้ 12 เฟรม ฟิล์มหมด เขาก็จะอยู่กับเราในระหว่างที่เราเปลี่ยนฟิล์ม 2 - 3 นาที เราก็จะได้ยืดระยะเวลาถ่ายภาพของเราเป็น 15 - 20 นาที หรือบางครั้งครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าเราใช้ดิจิทัล 5 นาที 10 นาทีเสร็จ ความสัมพันธ์หรือความไว้ใจมันต่างกัน เวลาถ่ายภาพ Abstract ก็เหมือนกัน เวลาเราใช้ฟิล์ม เราใช้เวลากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านานกว่าปกติ เดินเข้าเดินออกอยู่นั่นน่ะ หันซ้ายหันขวา หมุนวงแหวนเลนส์อยู่นั่นละ ชัดหรือยังวะ วัดแสงแล้ววัดแสงอีก พอวางเฟรมปุ๊ป อ้าว ไม่ลงตัวนี่หว่า! ถอยอีก ขยับอีก ความสำคัญของการถ่ายภาพคือเวลา เราใช้เวลากับสิ่งที่เราถ่ายนานแค่ไหน ซึ่งก็มาตอบคำถามที่ว่าทำไมเรายังใช้ฟิล์มอยู่ เพราะเราอยู่กับมันได้นานกว่า
Xspace:
สำหรับคุณ ภาพถ่ายคืออะไร
ศุภชัย:
สำหรับเรา ภาพถ่ายคือไทม์แมชชีน ทำให้เราย้อนเวลาได้ และทุกครั้งที่เราย้อนเวลากลับไปตอนที่เราถ่ายภาพ ความกระปรี้กระเปร่าจะย้อนกลับมานะ สมมุติเราย้อนไปดูภาพถ่ายของลูกตอนอายุ 10 เดือนที่ปารีส หน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ตอนนั้นเราอายุ 30 ตอนนี้ปี 2020 เราอายุ 47 พอเราย้อนกลับไปดูภาพนั้นอีก มันพาเรากลับไปในปี 2007 ในขณะที่เราอายุเท่านั้นด้วย ความกระปรี้กระเปร่าหวนกลับมา อากาศตอนนั้น เสียง หรือว่ารอยยิ้มของลูกหวนกลับมาหมดเลย หรือเวลาเราดูภาพอื่นๆ เนี่ย มันพาเรากลับไปตอนอายุเท่าเดิม ในสิ่งแวดล้อมเดิมตอนที่เราถ่ายภาพ เพราะเราจำได้ว่าเราอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหม ไม่เคยถาม แต่นี่คือเหตุผลที่เรายังถ่ายภาพอยู่ เพราะสิ่งนี้ อย่างเวลาดูภาพ Abstract เรารู้เลยว่าเราไปยืนถ่ายภาพนี้อยู่ตรงไหน จำบรรยากาศ จำสถานที่ได้ชัดเจน เหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนของโดราเอมอนกลับไปเลย (หัวเราะ).
*Nouveau Réalisme กระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ซึ่งมีความใกล้เคียงกับป็อปอาร์ตอเมริกันเช่นกัน เริ่มต้นขึ้นในปี 1960 โดยนักวิจารณ์ศิลปะ ปิแยร์ เรสตานี (Pierre Restany) ที่ร่างแถลงการณ์ “ปฏิญญาแห่งสัจนิยมใหม่” ที่ประกาศว่า Nouveau Réalisme (สัจนิยมใหม่) นั้นเป็นหนทางใหม่ในการเข้าถึงความจริง และร่วมลงชื่อโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสคนสำคัญอย่าง อีฟว์ คไลน์ (Yves Klein) และศิลปินอีกหลายคน อาทิ ฌอง แทงกูลี (Jean Tinguely), นิกิ เดอ ซอง ฟาลล์ (Niki de Saint Phalle), เรย์มง อาส์ (Raymond Hains) และ ฌาค วิลล์กลี (Jacques Villeglé) ที่ร่วมกันกันทำงานศิลปะที่หยิบฉวยเอาแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมมวลชนอย่างตรงไปตรงมา ที่เรสตานีนิยามว่าเป็นการ “รีไซเคิลในเชิงบทกวีของสัญลักษณ์แห่งสังคมเมือง ระบบอุตสาหกรรม และความเป็นจริงในสื่อโฆษณา” ด้วยการใช้เทคนิคหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้เทคนิค *Décollage (แปลว่า ดึงออก) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ตรงกันข้ามกับการคอลลาจ คือแทนที่จะสร้างภาพจากการตัดชิ้้นส่วนจากภาพต่างๆ มาปะติดกันเป็นภาพใหม่ เทคนิคนี้กลับเป็นการการตัด ฉีกทึ้งภาพเดิมออก โดยมากมักใช้ภาพโปสเตอร์แปะทับกันหลายชั้น แล้วตัดหรือฉีกบางส่วนแต่ละชั้นออกเพื่อสร้างภาพใหม่ขึ้นมา ถึงแม้จะมีแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากป็อปอาร์ตอเมริกัน แต่ศิลปินกลุ่มนี้ก็มักทำงานกับวัตถุสามมิติเสียมากกว่า
เรื่องโดย ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
ภาพถ่ายบุคคลโดย ปริม เกศการุณกุล
ขอบคุณภาพถ่ายผลงานจาก ศุภชัย เกศการุณกุล
#Xspace #art #artist #interview #talkwithartist #supachaiketkaroonkul #photographer #photojournalist #portrait #abstact #photograph #filmcamera #creativity #แรงบันดาลใจจากศิลปะ
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะและงานสร้างสรรค์ที่สนุกสนานและน่าสนใจได้ที่ Xspace
▪️Official Line : @xspace or click https://lin.ee/IoAkEaF
▪️Facebook : Xspace
▪️Twitter : twitter.com/Xspaceart
▪️Instagram : instagram.com/Xspaceartgallery
▪️Pinterest: https://pin.it/5eLSb64