Art Behind Film
ศิลปะแห่งการเผชิญหน้าความชั่ว Mad Max: Fury Road & Dalí
บางครั้งหนังแอ็คชั่นก็เป็นหนังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจทางศิลปะได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นในหนังอย่าง Mad Max: Fury Road (2015) หนังแอ็คชั่นที่รีเมคจากสุดคัลต์คลาสสิคขึ้นหิ้งของ จอร์จ มิลเลอร์ อย่าง Mad Max (1979) ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยความมัน เร้าใจ ลุ้นระทึก และความบ้าระห่ำสุดขีดคลั่งของหนังแอ็คชั่นแข่งรถไล่ล่าได้อย่างสมบูรณ์แบบจนแทบทำให้หนังแอ็คชั่นในประเภทเดียวกันอย่าง Fast & Furious กลายเป็นหนังดิสนีย์ไปได้แล้ว มิลเลอร์ยังสร้างหลักไมล์อันใหม่ให้กับหนังแอ็คชั่นในยุคนี้ด้วยงานสตันต์อันแปลกใหม่น่าทึ่ง แต่ก็สมจริงสมจังโดยไม่ต้องพึ่งพิงซีจีจนเกร่อ การแสดงอันเข้มข้นถึงบทบาทของเหล่านักแสดงนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาร์ลีซ เธียรอน ที่โดดเด่นจนแทบจะกลบรัศมีของพระเอกได้เลยทีเดียว
ตัวหนังเองก็ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นที่มีเนื้อหาดาษ ๆ ดื่น ๆ เอามันแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่แฝงประเด็นที่ลึกซึ้ง วิพากษณ์วิจารณ์ความเป็นมนุษย์ สังคม ไปจนถึงการเมืองได้อย่างแหลมคมอีกด้วย อีกทั้งมันยังได้รับการยกย่องจากคนดูในกลุ่มเฟมินิสต์ว่าเป็นหนังเชิดชูสิทธิสตรีแห่งปีนี้เลยทีเดียว ทั้งที่มันเต็มไปด้วยรถแข่ง แอ็คชั่นล้างผลาญ ระเบิด เลือด ความตายและพลุ่งพล่านไปด้วยอะดรีนาลีนขนาดนั้น
ด้วยเรื่องราวของโลกในยุคอารยธรรมล่มสลาย มนุษย์โลกขาดแคลนและแย่งชิง อาหาร น้ำ และพลังงานที่เหลือน้อยลงทุกที แม็กซ์ ร็อกคาแทนสกี้ (ทอม ฮาร์ดี้) พระเอกของเราถูกคร่าตัวเข้าสู่อาณาจักรของ อิมมอร์ทัน โจ (ฮิวจ์ เคยส์ ไบรน์) ประมุขเผด็จการผู้ทรงอำนาจที่ครอบครองทรัพยากรที่เหลืออยู่แบบเบ็ดเสร็จและปกครองคนในอาณาจักรอย่างกดขี่เหลื่อมล้ำ โดยมีขุมกำลังเป็นเหล่านักรบหนุ่มกลายพันธุ์สุดคลั่งที่ถูกเรียกขานว่า กุมารสงคราม หรือ War Boys ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ ฟูริโอซา (ชาร์ลีซ เธียรอน) หนึ่งในแม่ทัพของอาณาจักรก่อการกบฏด้วยการลักลอบพาแม่พันธุ์สาวอันเป็นสมบัติล้ำค่าของโจขึ้นรถหนีออกมาเพื่อมุ่งไปหาโลกใหม่ที่ไร้การกดขี่ โดยมีพระเอกของเราจับพลัดจับผลูร่วมขบวนไปด้วย เมื่อนั้นการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งจึงเริ่มต้นขึ้น…
ที่ไม่อาจจะไม่กล่าวถึงได้เลย ก็คืองานด้านภาพอันน่าตื่นตะลึงและโปรดักชั่นดีไซน์อันตระการตาเปี่ยมจินตนาการ จนเรียกได้ว่าเป็นการเอาความเป็นศิลปะมาสอดใส่ในหนังแอ็คชั่นได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ
ภาพจากหนัง Mad Max: Fury Road (2015) ในฉากต่อสู้กลางอากาศอันบ้าคลั่งของเหล่าวอร์บอยส์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากแอ็กชั่นไล่ล่ากลางทะเลทราย ที่กองคาราวานสงครามของ อิมมอร์ทัน โจ กับเหล่ากุมารสงคราม (War boy) และพันธมิตรอันโฉดชั่ว ที่ไล่ตาม แม็กซ์, ฟูริโอซ่า และเหล่าสาวงามแม่พันธุ์ทั้งห้าของโจ ด้วยกองทัพรถสงครามและยุทธวิธีต่อสู้โจมตีกลางอากาศด้วยไม้ค้ำถ่ออันบ้าคลั่งโลดโผนของเหล่าวอร์บอยที่ดู ๆ ไปแล้วมันมีองค์ประกอบทางศิลปะที่พิมประพายคล้ายกับภาพวาดชื่อดังภาพหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ ภาพวาดภาพนั้นมีชื่อว่า
The Temptation of Saint Anthony (1946) ซัลบาดอร์ ดาลี, สีน้ำมันบนผ้าใบ
อันเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของศิลปินเซอร์เรียลลิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวสเปนอย่าง ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) นั่นเอง
ในปี 1946 ดาลีเข้าร่วมการประกวดที่จัดโดยโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน โรเบิร์ต เลวิน ผู้ต้องการหาภาพวาดไปใช้ประกอบการถ่ายทำในหนังที่กำลังจะสร้างขึ้นอย่าง The Private Affairs of Bel Ami (1947) ซึ่งดัดแปลงจากบทประพันธ์ของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส กีเดอโมปาซอง อย่าง Bel Ami โดยภาพวาดที่ว่าต้องอยู่ในหัวข้อ The Temptation of Saint Anthony (การเผชิญหน้ากิเลสของนักบุญแอนโธนี) ศิลปินชาวยุโรปและอเมริกันเลื่องชื่อ 12 คนได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขันนี้ ซึ่งในจำนวนนั้นจิตรกรเซอร์เรียลลิสม์ที่โดดเด่นอย่าง มักซ์ แอร์นสท์ (Max Ernst) อยู่ด้วย ซึ่งมันเป็นการประกวดเพียงครั้งเดียวที่ดาลีเข้าร่วม ถึงแม้ว่าภาพของเขาจะไม่ถูกเลือกไปใช้ในหนัง (กรรมการเลือกภาพของ มักซ์ แอร์นสท์ ไปใช้ประกอบฉากหนังแทน) แต่ผลงานชิ้นนี้ของเขาก็ได้รับความสนใจจากมหาชนและมีชื่อเสียงโด่งดังจากการที่มันถูกแสดงในนิทรรศการทัวร์ร่วมกับภาพวาดที่เข้าร่วมประกวดภาพอื่นๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา
หลังจากประสบความสำเร็จกับการทำงานในหนังของ อัลเฟรด ฮิตซ์ค็อก ในหนัง Spellbound (1945) ดาลีรู้ดีว่าโปรดิวเซอร์หนังของฮอลลีวูดอยากได้ภาพวาดแบบไหนไปใช้ในหนัง (แต่น่าเสียดายที่คราวนี้ใช้ไม่ได้ผล)
The Temptation of Saint Anthony เป็นภาพวาดสีน้ำมันที่อยู่ใน “ยุคคลาสสิค” ของดาลี หรือที่เรียกในอีกชื่อว่า “Dali Renaissance” มันเป็นภาพวาดภาพแรกที่แสดงให้เห็นของถึงความสนใจในสื่อกลางระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ของเขา ภาพของทิวทัศน์คล้ายทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา บนท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆมืดครึ้มให้บรรยากาศราวกับฝันร้ายอันน่าสะพรึง โดยมีนักบวชชราเผชิญหน้ากับจินตภาพของกิเลสตัณหาที่ผุดออกมาจากท้องฟ้า ซึ่งดาลีเรียกว่าเป็น “อาการประสาทหลอนจากความหวาดระแวงต่อกิเลส” โดยมันถูกสะท้อนออกมาเป็นภาพอันเหนือจริงของฝูงสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่เดินเรียงรายออกมาจากหมู่เมฆ นำขบวนด้วยม้าคลั่ง อันเป็นสัญลักษณ์แทนความมัวเมาในกาม ที่โจนทะยานออกมาหมายเหยียบขยี้ร่างของนักบวชชราให้แหลกราญใต้ฝ่าเท้า ตามติดมาด้วยเหล่าช้างรูปร่างพิสดารที่แบกวัตถุอันเป็นสัญลักษณ์แทนกิเลสตัณหาอยู่บนหลัง ตัวหนึ่งแบกจอกทองคำที่ผุดร่างสาวสะคราญเปลือยชดช้อยเย้ายวนราคะ อีกตัวแบกเสาแหลมรูปทรงคล้ายปิรามิด (ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประติมากรรมช้างแบกเสาโอเบลิกส์ของ จานโลเรนโซ แบร์นินี ที่จัตุรัสเปียซซาเดลลามีแนร์วา ในกรุงโรม) อีกตัวแบกชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรมสไตล์อิตาเลียน บนหน้าต่างปรากฎร่างหญิงเปลือยเต้าเต่งเคร่งครัด บนหลังคามีตัวตลกเต้นรำอยู่ อันเป็นสัญลักษณ์แทนความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และตัวสุดท้่ายที่เดินมาแต่ไกลแบกหอคอยสูงล้ำเทียมเมฆ อันเป็นสัญลักษณ์แทนความทะยานอยาก พวกมันเขย่งเกงกอยบนขาเหยียดยาวราวกับแมงมุมที่สูงลิบจนดูเหมือนไร้น้ำหนัก
สัตว์ประหลาด (หรืออันที่จริงคือสัญลักษณ์ของกิเลสตัณหา) ทั้งหลายเหล่านี้ มีท่าทีข่มขวัญนักบุญชราที่ร่างกายเปลือยเปล่า (อันเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอไร้การปกป้อง) ในภาพ จนแทบจะเพลี่ยงพล้ำ แต่เขาก็หยัดกายยันมือซ้ายอยู่บนก้อนหินด้านหลัง มือขวาเหยียดชูไม้กางเขนซึ่งเป็นเครื่องมืออันศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ขับไล่ภาพลักษณ์ของปิศาจอันเป็นสัญลักษณ์ของกิเลสอันชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหน้า โดยมีหัวกะโหลกปริศนาที่น่าจะเป็นของนักสู้ผู้พ่ายแพ้ในโมงยามก่อนหน้ากองอยู่แทบเท้าของเขา ในหมู่เมฆไกลลิบปรากฏภาพปราสาทเอล เอสโกเรียล ของกษัตริย์เฟลิปเป้ที่ 2 อยู่เลือนราง ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่เป็นลางบอกเหตุแห่งชัยชนะเหนือกิเลสทางโลกย์ทั้งปวงของนักบุญท่านนี้
ดาลีเลือกที่จะวาดภาพวัตถุที่เขาคิดว่ามีจิตวิญญาณ และเปิดเผยพลังอำนาจที่ซ่อนเร้นของมันออกมา เขาเชื่อว่าวัตถุทุกอย่างมีพลังเหล่านี้และปรารถนาที่จะครอบครองมันเอาไว้ด้วยการวาดมันลงบนผืนผ้าใบ โดยสิ่งเหล่านี้เขาได้แรงบันดาลใจมาจากความหลงใหลที่เขามีต่อระเบิดปรมาณู ซึ่งเขารู้สึกว่ามันช่างมีมนต์ขลังและทรงพลัง ด้วยการใช้สไตล์การวาดแบบคลาสสิคอันสมจริง ผนวกกับภาพลักษณ์เหนือจริงอย่างการที่คน สัตว์ สิ่งของอยู่ในสภาวะล่องลอยหรือดูเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนัก ดาลีมุ่งหมายที่จะใช้ทัศนธาตุเหล่านี้นำเขาเข้าใกล้กับจิตวิญญาณที่มีอยู่ในสสารทุกอย่าง หรือแม้แต่เข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นได้
ปัจจุบันภาพนี้ถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Musée Royaux des Beaux-Arts ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
ภาพจากหนัง Mad Max: Fury Road (2015) ในฉากไล่ล่ากลางทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา ที่ทำให้นึกไปถึงภาพวาดทิวทัศน์สไตล์เซอร์เรียสลิสม์อันเวิ้งว้างของดาลี
Average Pagan Landscape, 1937 ซัลบาดอร์ ดาลี, สีน้ำมันบนผ้าใบ
Perspective, 1936 - 1937 ซัลบาดอร์ ดาลี, สีน้ำมันบนผ้าใบ ภาพวาดที่สะท้อนสถานการณ์ของสเปนในช่วงสงครามกลางเมืองในปี 1936
ภาพจากหนัง Mad Max: Fury Road (2015) ที่น่าจะได้แรงบันดาลใจจากภาพวาพของดาลี
Los Elefantes (The Elephants), 1948, ซัลบาดอร์ ดาลี, สีน้ำมันบนผ้าใบ
เรื่องราวของ Temptation of Saint Anthony หรือ กิเลสของนักบุญแอนโธนี ถูกหยิบยกมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ศิลปะและวรรณกรรม มันเป็นหัวข้อที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในวัฒนธรรมตะวันตก ภาพวาดเกียวกับเรื่องนี้ภาพแรกถูกทำขึ้นเป็นภาพฝาผนังแบบปูนเปียกของอิตาลีในศตวรรษที่ 10 ต่อมามันถูกทำเป็นแม่พิมพ์ไม้และภาพวาดในยุคศตวรรษ 1490 มันถูกนำไปถ่ายทอดเป็นภาพวาดของจิตรกรเฟลมมิชชั้นครูอย่าง เฮียโรนิมัส บอส (Hieronymus Bosch) อีกด้วย แต่เวอร์ชั่นที่เป็นที่รู้จักที่สุดกลับเป็นเวอร์ชั่นภาพวาดสีน้ำมันของดาลี ทั้ง ๆ ที่มันแพ้การประกวดและไม่ถูกคัดเลือกไปใช้ในหนังด้วยซ้ำไป
อนึ่ง ถ้าลองคิดดูดี ๆ ธีมในการไล่ล่าของเหล่าวายร้ายกับตัวเอกในหนัง Mad Max: Fury Road ก็บังเอิญไปพ้องกับธีมของภาพวาด The Temptation of Saint Anthony ที่ว่านี้เช่นกัน ดังจะเห็นจากการที่อิมมอร์ทัน โจ และกองทัพผู้ชั่วช้า ไล่ล่าตัวฟูริโอซ่าและเหล่าสาวงามหลากเผ่าพันธุ์ผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาทั้งห้า (หมายถึงจิตใจน่ะนะ) ที่ดิ้นรนหนีเพื่ออิสรภาพและโลกใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งไม่ต่างอะไรกับองค์ประกอบในภาพวาดของดาลีที่มีภาพของสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายอันเป็นตัวแทนของกิเลสตัณหาที่ดาหน้าเข้าคุกคามนักบุญชราอ่อนแอและเปลือยเปล่าอันเป็นตัวแทนของความดีงาม ความบริสุทธิ์ และอิสรภาพจากบาปทั้งปวง
และมันทั้งคู่ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่า การวิ่งหนีความชั่วร้ายไม่ใช่หนทางในการแก้ปัญหา หากแต่เป็นการหันไปเผชิญหน้าและต่อสู้กับมันต่างหาก
แถมท้าย สเปรย์สีเงินนั้นท่านได้แต่ใดมา?
ภาพจากหนัง Mad Max: Fury Road (2015) กับวอร์บอยส์ที่พ่นสเปรย์สีเงินโครเมียมพ่นใส่ปากยามกระโจนสู่สมรภูมิ
ขณะที่ตื่นตะลึงไปกับแอ็คชั่นสุดขีดคลั่งในหนัง Mad Max: Fury Road หลายคนอาจสงสัยกับพฤติกรรมของตัวละคร “กุมารสงคราม” หรือ War Boys ผู้บ้าระห่ำ ที่ชอบเอาสเปรย์สีเงินโครเมียมพ่นใส่ปากยามกระโจนสู่สมรภูมิ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แต่ก็ดูเจ๋งดี
บ้างก็อาจคิดว่าการพ่นสีเงินโครเมียมที่ส่องประกายเรืองรอง (แบบเดียวกับการพ่นเคลือบโครเมียมรถยนต์ให้แวววาว) อาจจะเป็นหนทางในที่ช่วยพวกเขาไปสู่ “วาลฮาลา” แดนสวรรค์แห่งเกียรติยศอันเป็นนิรันดร์ของเหล่านักรบผู้ยอมพลีชีพในสงคราม ที่หยิบยืมมาจากตำนานเทพปกรณัมนอร์ส ของชาวยุโรปเหนือ
ผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ movies.com ว่า เขาได้ไอเดียของการสร้างสัญลักษณ์ในการเข้าสู่สมรภูมิจากการดูสารคดีสงครามเรื่อง Frontline (1981) ของ เดวิด แบรดบิวรี
“ผมดูสารคดีเรื่องนี้และเห็นว่า ในช่วงสงคราม ทหารหนุ่มกัมพูชาจะมีจี้พระหยกห้อยคออยู่ และจะเอาพระอมใส่ปากไว้เวลาที่ออกไปรบ”
Frontline เป็นดีวีดีสารคดีที่บันทึกภาพสงครามกัมพูชาในวันที่กรุงพนมเปญแตก ซึ่งในสารคดีจะเห็นทหารอมจี้พระเล็กๆ ห้อยอยู่ในปากในขณะที่กำลังรบอยู่
สารคดีเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่มิลเลอร์ และตอบคำถามว่าทำไมเขาถึงให้วอร์บอยส์ในหนังพ่นสเปรย์สีเงินโครเมียมใส่ปาก เพราะมันคือพิธีกรรมก่อนที่พวกเขาจะออกรบ และเหมือนกับจี้พระของทหารกัมพูชา สีเงินโครเมียมจะช่วยให้พวกเขาไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่ายามสิ้นชีพ มันจะนำพวกเขาไปสู่วาลฮาลานั่นเอง
อีกอย่าง สเปรย์สีเงินโครเมียมน่าจะแทนสัญลักษณ์ของ รถยนต์ น้ำมัน และสารเคมี ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าของโลกหลังอารยธรรมล่มสลายในหนังเรื่องนี้ และเป็นสัญลักษณ์ของอันตรายของการเสพติดสารระเหยและสารเคมี และอาการมึนเมาไร้สติราวกับเสพยาของเหล่าตัวละครวอร์บอยส์จนทำให้พวกเขาลืมตัวและกระโจนเข้าสู่สถานการณ์อันตรายอย่างไร้ความลังเล
ปอลอ สำหรับใครที่อยากเท่ระห่ำแบบ War Boys ในหนัง ก็อย่าเพ่อเอาสเปรย์กระป๋องพ่นสีรถจริงๆ ไปพ่นใส่ปาก เพราะแทนที่จะได้ไปวาลฮาลาก็อาจต้องโดนหามเข้าโรงบาลไปเสียก่อน แถมตอนนี้เข้าก็มีคนทำสเปรย์สีเงินโครเมียมที่ทำจากสีผสมอาหารให้ซื้อมาพ่นใส่ปากให้เท่ระห่ำกันแบบในหนังกันแล้วด้วย
สนใจก็ลองไปซื้อหากันเอาเองได้ที่ https://goo.gl/SaL0iC
ข้อมูล/ภาพ : หนังสือ Salvador Dalí : 1904-1989 (2007) โดย Robert Descharnes / Gilles Neret / Salvador Dalí สำนักพิมพ์ Taschen, Koln, Dalí : the centenary retrospective (2004) โดย Dawn Ades / Salvador Dali สำนักพิมพ์ Thames & Hudson, ลอนดอน
เว็บไซต์ http://goo.gl/iBHYCp, http://goo.gl/7wi8MB, http://goo.gl/pyQMNw
#Xspace #artbehindfilm #art #movie #madmaxfuryroad #salvadordali #thetemptationofsaintanthony #silverspraypaint #warboy #แรงบันดาลใจจากงานศิลปะ #แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์
.
.
.
Art Behind Film เป็นคอลัมน์ที่นำเสนอแรงบันดาลใจจากงานศิลปะที่เบื้องหลังหนังเรื่องต่างๆ โดย ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คอลัมนิสต์ศิลปะแห่งมติชนสุดสัปดาห์ เจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊ก ART IS ART, ART IS NOT ART อะไร (แม่ง) ก็เป็นศิลปะ และ INSIDE ART, OUTSIDE ART ข้างนอกข้างในอะไร (แม่ง) ก็ศิลปะ ที่เล่าเรื่องราวศิลปะด้วยลีลาอ่านง่าย ไม่ต้องปีนกระได ติดตามได้ทุกวันอาทิตย์ใน Xspace
.
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะและงานสร้างสรรค์ที่สนุกสนานและน่าสนใจได้ที่ Xspace
▪️Official Line : @xspace or click https://lin.ee/IoAkEaF
▪️Facebook : Xspace
▪️Twitter : twitter.com/Xspaceart
▪️Instagram : instagram.com/Xspaceartgallery
▪️Pinterest: https://pin.it/5eLSb64