ARTWORKS ARTISTS BOOKS EXHIBITION BLOG
FILM BEHIND YOU

The Half of it (แด่ความรัก)

FILM BEHIND YOU

The Half of it (แด่ความรัก)


“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”

The Half of it เป็นหนังรักผสมแนว coming of age โดยผู้กำกับ Alice Wu ที่ฉายในเน็ตฟลิกซ์ เป็นหนังที่ผมเชียร์มิตรสหายทุกคนให้ดู นี่คือหนังรักที่ฉลาดและจับใจ น่ารักชวนยิ้มและอ่อนไหวชวนเสียน้ำตา มีอะไรหลายๆอย่างน่าเขียนถึงซึ่งผมกะคร่าวๆน่าจะได้ถึง 8 หน้า A4 ดังนั้นจึงขอแบ่งครึ่งแรกของบทความมอบให้ ‘ความรัก’ ที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้

====

หนังดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลัก 3 คน ที่อาศัยในชุมชนเมืองเล็กๆชื่อสควอเฮมิช

  1. เอลลี่ ชู 

เด็กสาวอายุ 17 ปีชาวจีนมีบุคลิกภาพช่างคิดช่างไตร่ตรอง แต่บางครั้งก็ใช้สมองแล้วผลักความรู้สึกออกไปจากตัว เธอหลงใหลในวิชาปรัชญา เขียนเรียงความเก่งจนเพื่อนจ้างเขียนส่งครู มีแววดีที่ครูอยากจะให้ขอทุนไปเรียนต่อ แต่เธอไม่อยากออกจากเมืองสควอเฮมิชเพราะห่วงพ่อที่ทำงานนายสถานีรถไฟที่พูดภาษาอังกฤษไม่คล่องจะต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว

  1. พอล 

ชายหนุ่มคนซื่อ เขาตกหลุมรักแอสเทอร์-หญิงสาวที่เสมือนดาวโรงเรียนแต่ก็ไม่กล้าบอกตรงๆเพราะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรทื่อๆ จึงจ้างเอลลี่ ชู เขียนจดหมายรักส่งให้แอสเทอร์ จากหนึ่งฉบับก็เริ่มต่อเนื่องเป็นการแชทและโต้ตอบทางจดหมาย พอลอยากจะสื่อสารเรื่องอะไรก็จะบอกเอลลี่แล้วก็จะถูกขัดเกลาโดยเอลลี่ให้ออกมาเป็นภาษาและวิธีคิดในแบบของเธอ

  1. แอสเทอร์ 

เธอยิ้ม เธอเป็นเด็กดี แต่เบื้องนอกท่าทีเหล่านี้ต้องข่มความไร้สุขไว้ในกรอบของศาสนาและคำสอนของพ่อที่เป็นบาทหลวง เมื่อเธอต้องขลุกอยู่ในแวดวงสังคมของแฟน เธอก็เป็นดั่งตุ๊กตาประดับแต่เธอก็จำต้องรักษาสถานภาพนี้ไว้เพื่อความมั่นคงทางบ้านที่พ่ออยากให้ทั้งคู่แต่งงานกัน เพราะแฟนของเธอร่ำรวยมาจากตระกูลมีชื่อเสียงสามารถเลี้ยงดูแอสเตอร์และส่งเสริมภาพลักษณ์ของครอบครัว

ตัวละคร 3 คนเริ่มเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ชุลมุนเมื่อแอสเทอร์ได้รับจดหมายในนามของพอล(แต่จริงๆเขียนโดยเอลลี่) แล้วแอสเทอร์ก็รู้สึกดีๆ จากนั้นความรักในตัวละครแต่ละคนก็เริ่มเติบโตไปคนละแบบ...

รักที่แตกต่าง

=======

ความรักของเอลลี่

=========

เอลลี่เป็นคนเก่งในเรื่องปรัชญาความรัก สามารถหยิบยกซีนหนังรักดีๆมาเขียนในจดหมาย เคยอ่านวรรณกรรมรักโรแมนติกมากมาย เขียนเรียงความเรื่องรักได้เป็นหน้าๆ แต่เธอเองยังไม่เคยรู้จักความรักแบบโรแมนติกจริงๆ 

จนกระทั่งพบแอสเทอร์ที่เกิดความวูบวาบตั้งแต่แรก ต่อมาได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดผ่านตัวหนังสือในจดหมาย ได้คุยกับแอสเทอร์มากขึ้น เธอจึงรู้จักความรักชัดเจน

และก็เหมือนหลายคนที่ศึกษาความหมายของรักจากหนังสือฮาวทูมากมายแต่ก็ไม่มีวันได้คำตอบ หากยังไม่เคยสัมผัสแล้วรักใครซักคน เพราะเมื่อถึงจุดนั้น เราจึงจะมีนิยามความรักที่ตรงกับตัวเองที่สุด

เหมือนเช่นเอลลี่ที่พบว่า 

“ความรักคือความยุ่งเหยิง เลวร้าย เห็นแก่ตัว และกล้าหาญ

มันไม่ใช่การตามหาอีกครึ่งที่สมูบรณ์แบบ แต่คือความพยายามและเอื้อมมือไป คือความล้มเหลว”

เอลลี่คือคนที่ชัดเจนเรื่องรักที่สุดในสามคน , เธอรักแอสเทอร์

=========

ความรักของพอล

=========

พอลตกหลุมรักแอสเทอร์ตั้งแต่ยังไม่เคยคุยกัน เขาร่ายคุณสมบัติสามข้อของแอสเทอร์ที่ทำให้เขาตกหลุมรัก แต่เมื่อได้รู้จักและพูดคุยมากขึ้นพร้อมๆกับที่สนิทสนมกับเอลลี่

เด็กหนุ่มอย่างเขาก็ได้บทเรียนแรกของความรักคือ‘การตกหลุมรักแรกพบ’ อาจจะไม่ได้นำไปสู่ ‘ความรัก’เสมอไป

‘คุณสมบัติภายนอก’มักทำให้คนตกหลุมรัก เราสามารถตกหลุมรักใครซักคนจากหน้าตา จากนิสัยที่เห็นภายนอก จากความฉลาดปราดเปรื่อง จากความดีที่ประทับใจ แต่ความรักจะพัฒนาต่อเมื่อมีการแลกเปลี่ยนตัวตนระหว่างกันและกัน (reciprocal)ไม่ว่าจะด้วยหนทางใด เกิดการ connect และผูกพัน

และในที่สุดพอลก็คิดว่าเขาอาจจะรักเอลลี่ไม่ใช่แอสเทอร์ 

============

ความรักของแอสเทอร์

============

แอสเทอร์คือตัวละครที่น่าจะซับซ้อนสุดครับ

เธอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็จริง แต่ใครๆก็ดูออกว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาซักเท่าไหร่

เมื่อพอลมาจีบผ่านจดหมาย แอสเทอร์ก็เกิดความรู้สึกดีๆ เธอชอบพอลโดยไม่รู้ว่าที่เธอชอบจากการอ่านจดหมาย แท้จริงคือเธอชอบตัวตนของเอลลี่

แล้วความน่าสนใจคือการที่หนังแสดงออกตั้งแต่ฉากแรกที่เธอพบเอลลี่ตอนทำหนังสือตกหรือตอนทั้งคู่รอเข้าห้องน้ำที่โรงเรียน สังเกตจากการชม้ายตามอง การแอบมอง ท่าทีปัดผมแบบเขินนิดๆ คล้ายว่าเธออาจจะชอบเอลลี่ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้

แอสเทอร์จึงอาจเป็นตัวละครที่เป็นเกย์หรือไม่ก็เป็น bisexual แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอก็ไม่สามารถแสดงออกได้เพราะเธอถูกกรอบของศาสนาที่เคร่งครัดกดไว้ 

สำหรับคนทั่วไปคงไม่ยากที่จะรู้ว่าตัวเองรักใครเพราะรักคือ ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่มีผิดหรือถูก

แต่หากเราถูก ‘กรอบ’ บางอย่างมากดการรับรู้ความรู้สึกไว้ มีอำนาจที่เหนือกว่า(พ่อแม่, ศาสนา ฯลฯ)มากำหนดว่ารักแบบไหนถูก รักแบบไหนผิด รักแบบไหนเป็นบาป ฯลฯ มันก็จะทำให้เราไม่ชัดเจนในรักแบบเดียวกับแอสเทอร์เพราะกลัวว่าจะทำผิด

===

รักของแอสเทอร์ยังถูกผูกยึดกับความมั่นคงที่ถูกครอบครัวปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เธอเลือกแฟนหนุ่มแล้วตอบรับการแต่งงานเพราะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในอนาคต เธอกล่อมตัวเองว่ามันจะดีแต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่ารัก

แต่เธอรู้สึกหวั่นไหวไม่ปลอดภัย เมื่ออ่านจดหมายแล้วพูดคุยกับเอลลี่เพราะนั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงที่เสี่ยงต่อการถูกคัดค้านท่ามกลางสังคมเคร่งศาสนาที่เชื่อว่ารักเพศเดียวกันคือบาป , แต่นั่นก็คือรักที่กำเนิดขึ้นมา

ดังนั้นในตอนท้ายที่เธอบอกเอลลี่ว่า 

“มันอาจจะมีความหมายอะไรบ้าง ถ้าฉันอยากจะบอกเธอว่า ไม่ใช่ฉันไม่เคยคิดนะ เธอรู้มั้ย ถ้าอะไรๆมันต่างไปจากนี้หรือฉันต่างไปจากนี้”

น่าจะเป็นการบอกความในใจ ก่อนจะปิดท้ายบอกเอลลี่ว่าในไม่กี่ปีข้างหน้าเธอคงมั่นใจมากขึ้น

รักสำหรับบางคนจึงต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆเพราะมันต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเองก่อน

========

ผมรักการเล่าเรื่องของ Alice Wu ชอบการเจตนาออกแบบองค์ประกอบภาพให้แบ่งเฟรมเป็นครึ่งๆในหลายฉากเหมือนชื่อหนัง และยังมีหลายฉากที่หนังทิ้งอะไรบางอย่างไว้เสมือนว่าไม่สำคัญ (เช่น การพูดถึงซีนไล่ตามรถไฟในหนังที่เอลลี่ดูกับพอล , คำพูดว่า Best part ที่พ่อของเอลลี่ชอบพูดถึงหนังที่ดูในบ้าน ฯลฯ) ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะถูกนำมาใช้อีกครั้งในช่วงท้ายๆอย่างมีความหมาย 

และเมื่อต้องสื่อสารความในใจ หลายๆฉากก็สื่อสารแบบไม่ต้องให้ตัวละครพูดออกมาตรงๆ

ฉากที่ผมชอบมากฉากหนึ่งในหนังคือตอนที่แอสเตอร์ชวนเอลลี่ไปเที่ยวในป่า ซึ่งหากแกะรายละเอียดทีละฉากจะเห็นความช่างคิดของคนทำหนัง

เริ่มจากทั้งคู่นอนลอยตัวแช่บ่อน้ำร้อนในป่าแล้วเปิดเพลงจากวิทยุที่พกไป นี่คือฉากที่งดงามที่สุดฉากหนึ่งตอนทั้งคู่นอนหงายบนบ่อน้ำร้อนแล้วหัวชนกัน จากนั้นกล้องก็จับไปที่เงาสะท้อนจากน้ำแบ่งครึ่งระหว่างเงากับร่างของทั้งสองคน 

แล้วเมื่อเสียงอินโทรของเพลง If you leave me now ของ Chicago ดังขึ้นมาจากวิทยุ 

เอลล่าก็เปรยว่า “แม่ฉันรักเพลงนี้”

“แม่ของฉันบอกว่าเพลงทุกเพลง หนังทุกเรื่อง ทุกเรื่องราวจะมีช่วงที่ดีที่สุดของมันอยู่ (best part)”

ซึ่งถ้าคนดูจำได้ คำว่า “best part” คือคำของพ่อเอลลี่ที่พูดถึงบ่อยๆเวลาจดจ่อดูหนังในบ้าน แล้วพ่อจะบอกให้เอลลี่เงียบๆเพื่อตั้งใจดู best part มันจะทำให้เราระลึกได้ว่าส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่พ่อจดจ่อดูหนังก็มีความทรงจำร่วมของแม่อยู่ในกิจกรรมนั้น 

จากนั้นระหว่างที่เป็นช่วงอินโทรดนตรี แอสเทอร์ก็เปรยขึ้นมาว่า “นั่นใช่มั้ย? (best part)”

เอลลี่ตอบว่า “เธอถามหรือเธอจะบอก? (ว่ามันคือ best part)”

ทั้งคู่เงียบไปแล้วก็ยิ้ม

แล้วเพลงก็เล่นมาถึงท่อนที่ร้องว่า “ความรักแบบของเราสองคนนั้นยากที่จะพบเจอ เราจะปล่อยมันหลุดลอยไปได้อย่างไร?”

( “ ... A love like ours is love that's hard to find , How could we let it slip away?”)

แอสเทอร์ถามซ้ำว่า “แล้วตรงนี้หละ? (ใช่ best part มั้ย)”

ครั้งนี้เอลลี่ยิ้มแล้วตอบชัดว่า “ใช่”

จากนั้นทั้งคู่ก็นอนยิ้มเงียบๆอย่างมีความสุข , ส่วนตัวแล้วนี่คือฉากกึ่งบอกความในใจต่อกันที่ดีที่สุด อาจตีความได้ว่าทั้งคู่กำลังบอกความรู้สึกต่อกันผ่านทางเพลงและผ่านคำถาม-คำตอบของกันและกัน ในความหมายที่น่าจะตรงกันคือ ‘รัก’ในวันที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้อย่างตรงไปตรงมา

“ทุกสิ่งสวยงามในโลกล้วนต้องถูกทำลายในท้ายที่สุด แต่ถ้าเธอกล้าพอที่จะทำลายภาพที่สวยงามที่เธอวาดขึ้นมา นั่นก็เพราะเธอรู้แล้วว่าเธอมีทุกอย่างในตัวที่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้อีก”

====

แอสเตอร์ : “แต่ถ้าเราไม่เคยสะบัดฝีแปรงที่กล้าหาญขึ้นเลยละ?”

เอลลี่ : “เราก็จะไม่มีวันรู้ว่า เราจะสามารถวาดภาพที่ยอดเยี่ยมได้หรือไม่?”

====

บทสนทนาข้างต้นจากหนังเรื่อง The Half of it ไม่ใช่แค่หมายถึงงานศิลปะอย่างเดียวเท่านั้น เพราะหนังทำให้เห็นว่ามันสามารถเปรียบได้ถึง ‘การใช้ชีวิต’เช่นกัน

จากเรื่องราวของ พอล เด็กหนุ่มคนซื่อที่ตกหลุมรักดาวโรงเรียนอย่างแอสเตอร์ แต่ก็กลัวว่าสาวจะไม่สนใจจึงไปจ้างเอลลี่-เพื่อนร่วมชั้นเขียนจดหมายให้เพื่อใช้จีบในชื่อของเขา

=================

ห้าฝีแปรงและการใช้ชีวิต

===================

เมื่อพอลจ้างเอลลี่เขียนจดหมายรักให้แอสเตอร์ เอลลี่ก็ใช้ตัวตนของตัวเองเขียนหาแอสเตอร์(ภายใต้ชื่อพอล)

จดหมายของเอลลี่บรรยายความหลงใหลในศิลปะ วรรณกรรมและภาพยนตร์คลาสสิค ซึ่งก็บังเอิญไปตรงจริตกับแอสเตอร์ที่รักในสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาแอสเตอร์อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ไม่ได้มีรสนิยมคล้ายเธอ คนใกล้ชิดไม่เคยเปิดพื้นที่ให้แอสเตอร์วาดฝันตัวเองออกมา เช่น เมื่ออยู่ในบ้านก็มีครอบครัวเคร่งศาสนาที่เน้นการให้เธอรักษาภาพลักษณ์ที่ดี , เมื่ออยู่กับแฟนก็ไม่เคยใส่ใจความใฝ่ฝันใดๆของเธอ หรือเมื่ออยู่กับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนก็เป็นเพื่อนแบบที่หวังผลประโยชน์จากเธอ( อยากให้แอสเตอร์มาร่วมกลุ่มเพราะจะช่วยยกระดับกลุ่มให้ดูดี)  

เมื่ออยู่กับคนอื่นๆ แอสเตอร์ดูกลมกลืนไปกับคนรอบข้างมากกว่าได้แสดงออกเป็นตัวของตัวเอง

จนกระทั่งได้รับจดหมายในชื่อพอล(แต่เขียนโดยเอลลี่)ก็ทำให้แอสเตอร์ก็มีความสุขที่ได้เจอคนคุยถูกคอ เธอได้เป็นตัวของตัวเองเต็มที่

ในการคุยผ่านข้อความครั้งหนึ่งแอสเตอร์ยกตัวอย่างคำพูดของครูสอนศิลปะว่าความแตกต่างของภาพวาดที่ดี(good)กับยิ่งใหญ่(great)ทั่วไปวัดได้จากห้าฝีแปรงที่ชัดที่สุดในภาพแต่คำถามคือ 

‘ห้าฝีแปรงไหนละ?” 

ซึ่งเอลลี่ก็ตั้งสมมติฐานว่าบางทีเวลาเราวาดรูปที่คิดว่ากำลังดีแล้ว การสะบัดฝีแปรงที่ชัดเจนเพิ่มเข้าไปก็อาจทำลายภาพนั้นไปเลยก็ได้ , ซึ่งแอสเตอร์ก็สงสัยว่ามันเหมือนชีวิตของเธอที่ไม่เคยกล้าหาญพอ

===

แอสเตอร์ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย(safe zone)มาตลอด แม้ไม่รักแฟนแต่ก็เลือกจะเชื่อฟังพ่อ แม้ไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองอยากแต่งงานหรือไม่ก็รับๆไปก่อนแล้วคาดหวังสัญญาณจากพระเจ้ามาบอกว่าควรหรือไม่ควร , เธอไม่กล้าที่จะยืนหยัดบอกว่า เธอไม่ได้รักแฟนคนปัจจุบันและยังไม่อยากแต่งงาน

หากตัวละครนี้คือไบเซ็กช่วลและเธอเองก็แอบรักเอลลี่ แต่เธอก็กลัวที่จะยอมรับความจริง ถึงรู้ตัวก็กลัวเปิดเผยความจริงข้อนี้เพราะเธออยู่ในชุมชนเคร่งศาสนา(แถมมีพ่อเป็นบาทหลวง)ซึ่งหลายคนในชุมชนก็มองว่าการรักเพศเดียวกันคือ ‘บาป’ และจะทำให้ตกนรก

ดังนั้นชีวิตที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับแอสเตอร์คือเดินตามทางที่พ่อกำหนดไว้ให้

หากเปรียบชีวิตก็คงเป็นเหมือนรูปวาดที่แอสเตอร์ไม่กล้าสะบัดฝีแปรงเพราะกลัวว่าจะทำลายทุกอย่างที่มีอยู่โดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันอาจจะดีกว่านี้ได้

===

แต่มันก็ไม่ใช่แค่ความกลัวของแอสเตอร์ เรายังเห็นความกลัวของพอลด้วย

พอลกลัวที่จะบอกรักแอสเตอร์ตรงๆ ขาดความมั่นใจว่าดาวโรงเรียนแบบแอสเตอร์จะสนใจเขา แล้วก็กลัวที่จะเปิดเผยเมนูทาโก้ไส้กรอกของตัวเองให้โลกรู้เพราะครอบครัวทำไส้กรอกตามสูตรของรุ่นยายมาตลอด ยิ่งสมมติถ้าเขาต้องออกไปทำร้านอาหารที่เป็นเมนูสูตรของตัวเองก็กลัวว่าจะทำให้แม่หัวใจสลาย 

หรือแม้แต่เอลลี่ แม้เธอจะหลงรักแอสเตอร์แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยความในใจ แม้จะมีจังหวะที่สามารถพูดได้แล้วหลังจากแอสเตอร์กับพอลยุติความสัมพันธ์แล้วก็ตาม

The half of It จึงเป็นเรื่องของตัวละครที่ถูกความกลัวขัง ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ 

===

จนเมื่อสามคนนี้รู้จักกัน , ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คนก็ช่วยให้พวกเขาเติบโตรับมือกับความกลัวได้ดีขึ้น

พอลกล้าที่จะแสดงออกตรงๆกับคนที่เขารักแม้จะต้องพบกับความผิดหวัง  

เอลลี่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองเมื่อเธอยอมรับความรู้สึก ‘รัก’ ของตัวเอง

ในฉากตอนท้ายที่โบสถ์เมื่อเธอบอกว่า “รักคือความกล้าหาญ คือการยินดีที่จะทำลายภาพวาดที่ดีของตัวเองเพื่อโอกาสที่จะวาดภาพใหม่ที่ยอดเยี่ยม” แล้วหันไปถามแอสเตอร์ที่กำลังจะตอบรับคำขอแต่งงานว่า 

“(การแต่งงาน)นี่คือฝีแปรงที่กล้าหาญที่สุดของเธอที่ทำได้แล้วหรือ?”

เพราะการกล้าที่จะทำลายภาพวาดที่ดีโดยที่เรารู้ว่าเรายังวาดใหม่ได้คือการที่เรารู้ถึง ‘คุณค่าในตัวเอง’ 

เรารู้ว่าเรามีความสามารถที่จะวาดมันได้อีก ต่อให้เราลงห้าฝีแปรงที่กล้าหาญแล้วภาพเดิมนั้นเสียหาย มันก็ไม่ได้ทำลายความสามารถในการวาดของเรา เรายังวาดภาพใหม่ได้อีกเรื่อยๆ ยังมีโอกาสที่จะวาดภาพที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ

เช่นเดียวกับความรัก การกล้าที่จะบอกว่าเรารักหรือไม่รัก กล้าที่จะตอบรับการผูกมัดหรือกล้าที่จะปฏิเสธการแต่งงาน ต่อให้มันทำลายความมั่นคงปลอดภัย ทำลายเซฟโซนที่เคยมีทิ้ง ทำให้เราเจ็บปวด ทำให้เราร้าวราน

แต่เรายังเป็นคนเดิม คนที่มีความสามารถจะมีชีวิตที่ดี สามารถมีความรักครั้งใหม่ที่ดีและมีโอกาสพบรักใหม่ที่อาจจะดีกว่าเก่า ไม่ต่างอะไรกับการสะบัดฝีแปรงที่กล้าหาญ

เพราะความสามารถที่จะรักและความสามารถที่จะห่วงใยของเราไม่ได้ลดทอนลง

===

แอสเตอร์อาจจะเป็นคนสุดท้ายที่กล้าหาญและไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรชัดเจนเหมือนพอลกับเอลลี่

แต่การยกเลิกการแต่งงานแล้วเลือกที่จะไปเรียนต่อทางศิลปะที่ตัวเองรัก มันก็คือก้าวเล็กๆที่จะเป็นตัวเอง ไม่ได้ต้องเป็นแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น

การถูกท้าจากเอลลี่ว่าเธอไม่มีวันเปลี่ยน เธอก็ยังยืนยันว่าอย่างน้อยอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเธอจะเปลี่ยนให้ดู

มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่มีกรอบมากมายบังคับชีวิตไว้ตั้งแต่เล็กแบบแอสเตอร์

แต่เธอก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่า เธอมีคุณค่า เธอมีสิทธิที่จะรักและไม่รักใคร

การสะบัดห้าฝีแปรงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

===========

เติบโตและร่ำลา

===========

มีอีกสองเหตุการณ์ที่ผมชอบมากใน The Half of it ทั้งในแง่การเล่าเรื่องและการทำให้เห็นพัฒนาการตัวละครที่เติบโตขึ้นจากความสัมพันธ์

เหตุการณ์แรกคือการส่งขึ้นรถไฟ โดยหนังเกริ่นไว้เหมือนเป็นฉากไม่สำคัญตอนต้นเรื่องที่พอลกับเอลลี่นั่งดูหนังด้วยกันแล้วมีฉากพระเอกมาส่งนางเอกที่อยู่บนรถไฟ แล้วพอรถไฟออกจากสถานีพระเอกก็วิ่งตาม

พอล : ฉากนี้โรแมนติกดีนะ 

เอลลี่ : มันซ้ำซาก

พอล : มันแสดงออกว่าเขาแคร์เธอนะ 

เอลลี่ : มันแสดงออกว่าเขาโง่ต่างหาก ใครจะวิ่งตามรถไฟทัน

พอล : เธอ(นางเอกบนรถไฟ)ดูเศร้าออกนะ

เอลลี่ : งั้นเธอก็โง่เหมือนกันนั่นแหละ

===

หนังเซ็ตให้เอลลี่เป็นคนที่นิยมใช้เหตุผลนำทาง ต่อให้เป็นเรื่องรักมันก็มักจะมีความเป็น logic มากกว่าถูกผลักดันด้วยความรู้สึก ดังนั้นฉากร่ำลาที่สถานีรถไฟ เธอจึงบรรยายมันด้วย logic มากกว่าจะอินกับฉากนั้นด้วยความรู้สึก และมันก็เป็นข้อด้อยในตัวของคนช่างคิดที่มักจะกีดกันความรู้สึก(โดยไม่รู้ตัว)เพราะมันทำให้ไม่ทันสังเกตว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร หนีที่จะรับรู้อารมณ์ที่ตัวเองรับมือไม่ได้ ไม่เห็นคุณค่าของความรู้สึกเท่าการใช้เหตุผล

จนเมื่อเธอได้เจอสถานการณ์ ‘ร่ำลาที่สถานีรถไฟ’ ด้วยตัวเอง ในตอนที่เธอผ่านการสำรวจหัวใจมามากแล้ว 

เอลลี่กำลังจะขึ้นรถไฟเพื่อไปเรียนต่อเมืองอื่น พอลมาส่งที่สถานี เอลลี่ล้อเลียนพอลว่าอย่าขี้แยแต่เมื่อรถไฟค่อยๆออกจากสถานี พอลก็แกล้งวิ่งตามรถไฟเหมือนรู้ว่าเอลลี่จะต้องล้อ

เอลลี่หันไปมองพอล แล้วเธอก็เขินพึมพำน้ำตาซึมด่าว่าคนโง่

นี่คือจุดสำคัญ , น้ำตากับความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนรถไฟคือการเติบโตของเอลลี่

เธอได้สัมผัสความรู้สึกของตัวละครในหนังที่เธอเคยดู แน่นอนว่าในแง่ logic มันดูงี่เง่าว่า “ใครจะวิ่งไล่ตามรถไฟทัน”

แต่ความรัก(ไม่ว่ารูปแบบใด)มันไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ logic เท่านั้น 

แม้ว่าพอลอาจตกหลุมรักเอลลี่หรือเอลลี่จะรู้สึกกับเขาแค่เพื่อนแต่นั่นก็คือ ‘รัก’ คือการผูกพัน

พอลเป็นคนเดียวที่ปกป้องเวลาที่โดนกลุ่มเพื่อนนิสัยไม่ดีล้อชื่อเธอ ‘ชู ชู’ , ช่วยเหลือเรื่องเลือกชุดที่เหมาะกับการแสดงดนตรีเพราะเอลลี่ไม่รู้ว่าชุดแบบไหนจะเหมาะกับเธอ , ช่วยแก้ไขสถานการณ์บนเวทีตอนเอลลี่เล่นดนตรี

ในทางกลับกันเอลลี่ก็ช่วยเหลือเรื่องจีบสาวนอกเหนือจากเงินค่าจ้างเขียนจดหมายแล้วชี้ให้พอลเห็นว่าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น แอบช่วยเขียนจดหมายแนะนำเมนูทาโก้ไส้กรอกของเขาให้นักชิมชื่อดังจนได้การตอบรับ

น้ำตาของเอลลี่คือความรู้สึกที่เธอโอบรับเมื่อมันผุดขึ้นมา ยอมรับว่าบางครั้งชีวิตก็ไม่ได้ต้องทำอะไรตามเหตุผลเสมอไป

พอล : คุณไม่ ‘เห็น’ เธอ

พ่อของเอลลี่ : เห็นเหรอ เห็นอะไร?

พอล : เห็นเธออย่างที่เธอเป็นไงครับ เห็นคนที่เธออาจจะเป็นได้(ในอนาคต)

บทสนทนาที่พอลพูดถึงการ ‘เห็น’ อาจจะอยากสื่อว่าพ่อของเอลลี่เข้าใจผิดว่าเขากับเอลลี่รักกันทั้งๆที่เอลลี่รักแอสเตอร์ และคนที่เธออาจจะเป็นได้ในอนาคตก็คือ ‘ความฝันกับความสามารถ’ ที่เอลลี่มีซึ่งดีพอจะไปเรียนต่อต่างเมืองแล้วประสบความสำเร็จมากกว่าจะติดอยู่ในเมืองเล็กๆที่ไม่มีศักยภาพพอจะส่งเสริมเธอ แต่เอลลี่ก็ไม่ยอมไปเพราะเป็นห่วงพ่อ

จากนั้นพ่อของเอลลี่ก็ถามพอลกลับว่า

“นายเคยรักใครมากจนไม่อยากให้คนๆนั้นเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขา(หรือเธอ)เป็นมั้ย”

==

บทสนทนานี้คล้ายจะเรียกสติให้กับทั้ง 2 คนในเวลาถัดมา

พอลที่ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าความรักของเพศเดียวกันคือบาปและต้องตกนรก เข้าใจว่ารักคือเรื่องของจบกันด้วยการเป็นแฟนแค่นั้น แต่ในช่วงท้ายพอลใช้ความกล้าหาญสารภาพต่อหน้าหลายๆคนกลางโบสถ์ว่า 

“ผมคิดมาตลอดว่าความรักมีอยู่วิถีเดียว เป็นวิถีเดียวเท่านั้นที่ถูกต้องแต่ความรักมีหลากหลายกว่าที่ผมเคยรู้ และผมไม่อยากเป็นคนที่หยุดรัก เพียงเพราะคนที่ผมรักมีวิถีทางของความรักในแบบที่เธอเป็น”

และในฉากถัดมา พ่อของเอลลี่ก็เรียกลูกสาวมาคุยในครัวขณะที่กำลังทำเกี๊ยวให้แล้วบอกให้เตรียมไปเรียนต่อในวิทยาลัยที่ลูกคู่ควร

“เราไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อต้องการให้ลูกกลายมาเป็นเหมือนพ่อ(รักการอยู่เงียบๆและไม่ค่อยกล้าเปลี่ยนแปลง) เรามาที่นี่เพื่อให้ลูกเป็นเหมือนแม่(ร่าเริงสนุกสนานและน่าจะกล้าใช้ชีวิตตามความฝัน)”

เมื่อเขามองเห็นลูกอย่างที่พอลเคยบอกไว้ เขาก็คงรู้ว่าความรักที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงก็คงไม่ต่างอะไรกับการกักขัง เหมือนความรักของพ่อในหนัง Where we belong ที่หาทางบังคับให้ลูกยังอยู่ที่บ้านเกิดและสืบสานงานของครอบครัวแล้วอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ต่อไป  

แต่รักแบบพ่อของเอลลี่คือรักที่พร้อมจะส่งเสริมให้ลูกเดินตามฝัน มีเสรีภาพที่จะได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองเลือก

และเติบโตไปเป็น “คนที่เธออาจจะเป็นได้” ตามศักยภาพที่เธอมีแบบที่พอลเคยบอกไว้

รักจึงไม่ใช่การกักขังควบคุมเพื่อครอบครอง แต่คืออิสระเสรีและเรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น

แล้วถึงตอนสุดท้ายจะได้อยู่ร่วมกันหรือไม่ก็คือเรื่องของใจสองใจที่จะตกลงกัน.

#Xspace #movie #FILMBEHINDYOU #i_behind_you #pyschology #ผมอยู่ข้างหลังคุณ #thehalfofit #comingofage #lovestory #inspiration #แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์


FILM BEHIND YOU คอลัมน์ใหม่ของนักเขียน คอลัมน์นิสต์ และจิตแพทย์ผู้รักการดูหนังและเขียนหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าของเพจดังในชื่อเดียวกับนามปากกา “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ("ผมอยู่ข้างหลังคุณ", [email protected]) อดีตคอลัมนิสต์นิตยสาร FILMAX และเจ้าของผลงานพ็อกเก็ตบุ๊กสุดฮิต “ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”, “ เมื่อฉันลืมตาแล้วโลกเปลี่ยนไป” และ “โลกหมุนรอบกลัว” ติดตามบทความวิเคราะห์เจาะลึกหนังเชิงจิตใจในสไตล์จิตแพทย์คนรักหนัง






More to explore