FILM BEHIND YOU
Title The Haunting of Bly Manor – เรื่องรักที่มีผี
“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”
The Haunting of Bly Manor เสมือนซีซั่นที่ 2 ถัดจากซีรี่ส์ The Haunting of Hill House โดยผู้สร้างคนเดียวกันคือ Mike Flanagan ทั้งคู่มีเนื้อเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันแต่มีแนวคิดคล้ายซีรี่ส์ชุด American Horror Story คือใช้นักแสดงบางส่วนชุดเดิมมาอยู่ในเรื่องราวใหม่ๆกับบทบาทใหม่ๆ โดยยังคงอยู่ภายใต้ธีมเดิมคือสยองขวัญและหนังผี
The Haunting of Bly Manor เริ่มต้นในคืนแต่งงานของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง หญิงสูงวัยบอกกับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงว่า “ฉันมีเรื่องผีจะเล่าให้ฟัง”
====
เรื่องผี
====
แดนี่คือตัวเอกของเรื่อง เธอเดินทางจากอเมริกามาอังกฤษสมัครงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก(หรือ au pair)ให้สองพี่น้องที่พ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เด็กสองคนอาศัยในคฤหาสน์หลังใหญ่กับแม่บ้าน โดยผู้ว่าจ้างแดนี่ให้มาที่คฤหาสน์คือน้าชายของทั้งคู่
เมื่อแดนี่เดินทางมาถึง คนดูก็จะเห็นว่าต่างฝ่ายต่างมี ‘ผี’ ของตัวเอง
สองพี่น้องมองเห็นแล้วก็สื่อสารกับผีที่มีอยู่จริง เป็นผีที่ตายไปแล้วไม่สามารถไปไหนได้นอกจากต้องวนเวียนอยู่ในรั้วของคฤหาสน์โดยไม่มีที่สิ้นสุด
แดนี่อาจไม่เห็นผีในคฤหาสน์ แต่เธอก็เห็นผีที่คนในคฤหาสน์ไม่สามารถเห็นได้เช่นกัน
ผีของแดนี่คือชายใส่แว่นที่มักปรากฏในกระจกอยู่เสมอ
สำหรับคนดูหนังผีมาบ่อยโดยเฉพาะคนที่ติดตามผลงานเก่าๆของ Mike Flanagan ก็คงจะพอเดาได้ว่า ‘ผี’ ในผลงานของเขามักเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง และผีของแดนี่ก็คือ ‘ความรู้สึกผิด’ ที่เธอไม่อาจสลัดออกไปจากชีวิต เป็นอาการทางจิต(ภาพหลอน)ที่มีปมมาจากเหตุการณ์ตอนที่คนรักถูกรถชนตายต่อหน้าต่อตา เสี้ยววินาทีหลังจากทะเลาะกันแล้วเธอต้องการยกเลิกงานแต่งงาน
คนรักของแดนี่ยังไม่ทันรู้เหตุผลที่แท้จริงที่แดนี่ ซึ่งคือเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กเปลี่ยนใจ แดนี่เองก็ไม่กล้าเปิดเผย
The Haunting of Bly Manor จึงมีทั้งผีจริง คือวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่ที่เดิมทั้งที่ไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้ว คือวิญญาณที่รู้ตัวแล้วพยายามที่จะกลับไปใช้ชีวิตให้เหมือนเดิม และก็มีผีซึ่งเป็นผลกระทบทางจิตใจที่ตามหลอกหลอนเจ้าตัว
===
เรื่องรักเรื่องแรก
===
ปีเตอร์ ควินท์ทำงานเป็นลูกน้องให้อาของเด็กสองพี่น้อง เขารักกับพี่เลี้ยงคนแรกที่เข้ามารับงานในคฤหาสน์หลังพ่อแม่ของเด็กทั้งคู่เสียชีวิต
ปีเตอร์วางแผนที่จะไปมีชีวิตใหม่กับคนรักแต่เขาก็ถูกผีในคฤหาสน์ฆ่าตาย
ตัวละครปีเตอร์บอกอะไรเราหลายอย่างครับ เช่น ต้องการบอกความอึดอัดของชนชั้น เขารู้ตัวดีว่าต่อให้ทำงานเก็บเงินหรือดิ้นรนให้มีที่ทางในสังคมแค่ไหนในสายตาของเจ้านาย เขาก็ยังเป็นชนชั้นล่างหรือเป็นแค่ผู้รับใช้อยู่ดี เหมือนที่เขาบอกกับคนรักว่า “อังกฤษสนใจแต่ชนชั้น อเมริกันสนเรื่องเงิน”
ดังนั้นปีเตอร์จึงเชื่อว่าต่อให้ทำงานหนักก็คงไม่ได้การยอมรับในอังกฤษ แต่ถ้าเขามีเงินมากพอในอเมริกา เขาก็จะได้การยอมรับมากกว่านี้ ซึ่งก็เหมือนกับเขาค้นพบ ‘กุญแจ’ในการให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับแบบที่เขาเปรียบเปรยในหนังหลายหน
ปีเตอร์มีแนวคิดเชิงสัญลักษณ์ว่าการจะเข้าถึงใครซักคนหรือจะทำให้สังคมยอมรับได้ ต้องมีกุญแจที่จะไขเข้าถึงได้มันก็จะง่าย เช่น การจะเป็นที่เคารพในอังกฤษคือคุณต้องเกิดมาในชนชั้นสูง แต่ถ้าเป็นอเมริกาก็คือคุณต้องร่ำรวย หรือกุญแจที่จะเข้าถึงเจ้านายของปีเตอร์ก็คือเงินทองกับคำป้อยอ, กุญแจที่จะเข้าถึงผู้หญิงส่วนใหญ่(ในแนวคิดปีเตอร์)คือดอกไม้กับการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวว่ามีค่า(เหมือนที่เขามอบดอกไม้ทางอ้อมพร้อมกับยกย่องครูพี่เลี้ยงจนชนะใจเธอ)
ความฝันของปีเตอร์ที่จะให้ตัวเองเป็นที่เคารพนับถือไม่ใช่สิ่งผิด แต่ที่ผิดคือ ‘วิธีการ’
ตั้งแต่ตอนมีชีวิตที่เขาเลือกวิธีโกงหรือลักทรัพย์หวังจะใช้เป็นทุนตั้งตัวในอเมริกาจนนำไปสู่จุดจบจากผีในคฤหาสน์ ครั้นกลายไปเป็นผี ผีปีเตอร์ก็ยังมีนิสัยเหมือนตอนมีชีวิตคือสนใจไปให้ถึงเป้าหมายโดยไม่สนวิธีการ
เขาเกลี้ยกล่อมให้เด็กชายมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ดีและถูกต้อง(กลับไปอยู่กับน้องสาว) แต่วิธีการที่เขาสอนเด็กเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้นคือการฆ่านกหรือทำตัวแย่ๆในโรงเรียนเพื่อให้ถูกส่งกลับบ้าน
เช่นเดียวกับเมื่อเขาตอนเป็นผีต้องการใช้ชีวิตกับคนรัก เขาก็วางแผนหลอกให้คนรักตายตามมาโดยไม่เคยขอความยินยอมอีกฝ่าย หากแต่ใช้คำว่า‘รัก’มาโน้มน้าวให้อีกฝ่ายยอมให้อภัยเขา หรือแผนการที่ผีปีเตอร์ล่อหลอกเด็กทั้งสองคนให้ยินยอมสละร่างให้เขาถาวร
เรื่องรักของปีเตอร์ไม่ว่าจะตอนมีชีวิตหรือเป็นผี จึงไม่ใช่เรื่องรักที่มีความสุขนักเพราะเรื่องรักของเขามักสนใจแต่ตัวเอง เมื่อคิดถึงแต่เป้าหมายโดนไม่สนวิธีการก็ทำร้ายคนรอบตัวไม่หยุดรวมถึงคนที่เขารัก
====
เรื่องรักเรื่องที่สอง
====
โอเว่น : “เราหวังพึ่งอดีตไม่ได้เพราะอดีตเป็นความทรงจำย่อมเลือนหายหรือไม่ก็เริ่มผิดเพี้ยนไป แต่ชีวิตคนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไมรู้ หรือไม่ก็หลงลืมทุกอย่าง(จากโรคสมองเสื่อม) ดังนั้นเราก็หวังพึ่งอนาคตไม่ได้เช่นกัน ... , ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต , พูดตามผม แฮนนาห์ โกรสในปารีส ”
แฮนนาห์ : “ฉันจะไปทำอะไรในปารีส”
โอเวน : “กินครัวซองต์ ดื่มไวน์ ใช้ชีวิต ทำอะไรก็ได้ที่ใจเรานึกอยากทำในขณะนั้น คุณกับผมไปด้วยกันนะในขณะที่เรายังไปได้”
===
บทสนทนาข้างต้นอยู่ใน Episode ที่ 5 เป็นบทสนทนาที่มีความโรแมนติกหากได้ฟังตอนดูรอบแรก
แต่เมื่อดูซีรี่ส์จบแล้วกลับมาคิดถึงฉากนี้อีกครั้ง นี่คือฉากที่ผมคิดว่าเศร้าที่สุดในซีรี่ส์ เพราะฉากนี้ไม่ใช่ว่าแฮนนาห์ไม่อยากเลือก‘ปัจจุบัน’ตามที่โอเว่นชวน แต่เพราะเธอไม่มีปัจจุบันอีกแล้ว
ที่เหลือคือผี คือความทรงจำ , ไม่ใช่ชีวิต
และตัวละครสำคัญในซีรี่ส์ชุดนี้คือ ‘เวลา’
==
The Haunting of Bly Manor เล่นกับเวลาที่ตัดสลับไปมาบ่อยมากชนิดที่ว่าทำคนดูงงได้ง่ายๆว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาไหน แต่ถ้าแบ่งเป็นช่วงใหญ่ๆก็น่าจะเป็น ช่วงอดีตหลายร้อยปีก่อนจุดเริ่มต้นของผีในคฤหาสน์ , ช่วงที่พ่อแม่ของสองพี่น้องยังมีชีวิตและช่วงปัจจุบันที่แดนี่มาคฤหาสน์
ผีในเรื่องนี้คือการติดอยู่ในกับดัก’สถานที่’คือคฤหาสน์ พวกเขาไม่สามารถหนีออกนอกรั้ว แต่พวกเขาก็ยังติดในกับดัก’เวลา’ พวกเขาจะโผล่ไปมาในแต่ละช่วงเวลาข้างต้น คล้ายวังวนที่ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้
แดนี่ที่มาถึงคฤหาสน์แห่งนี้ที่มีผีตามเธอมาก็คือผีของกาลเวลาเช่นกัน คืออดีตที่เธอไม่สามารถสลัดทิ้งไปได้ ไม่ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศใหม่หรือพบรักใหม่ แต่อดีตที่เธอรู้สึกผิดก็ยังคงหลอกหลอน
แต่ The Haunting of Bly Manor ก็เหมือนกับที่ตัวละครคนหนึ่งบอกตอนท้ายว่าเรื่องราวเหล่านี้ดูจะเป็น ‘เรื่องรัก’ มากกว่า
เพราะแดนี่เอาชนะผีที่ตามเธอสำเร็จก็เมื่อเธอพบรักกับเจมี่ เจมี่คือคนรักที่ยอมรับในทุกสิ่งที่เธอเป็น และเน้นย้ำๆเสมอว่าเราค่อยๆดูกันไปวันต่อวัน ซึ่งก็คือการคอยเตือนให้แดนี่อยู่กับปัจจุบัน ก็เหมือนกับที่โอเว่นพยายามชวนแฮนนาห์ให้ใช้ชีวิตด้วยกันในปารีสโดยไม่ต้องสนอดีตหรืออนาคต
สิ่งที่ต่างกันคือแดนี่กับเจมี่ยังมี ‘เวลา’ เมื่อยังมีชีวิตก็ยังมีโอกาส แต่แฮนนาห์ตายไปแล้ว เธอไม่เหลือโอกาสใดๆอีกไม่มีเวลาให้เธอที่จะตัดสินใจใช้ร่วมกับโอเวนแม้เธอจะปรารถนา
เรื่องรักของแดนี่กับเจมี่อาจมีตอนจบที่น่าเศร้าแต่พวกเธอก็ยังมีเวลาหลายปีที่ได้ใช้ชีวิตมีความสุขร่วมกันก็เหมือน ‘ดอกชมจันทร์’ ที่เจมี่เคยเล่าไว้ แม้ดอกไม้จะบานแค่ปีละสองครั้ง ทุกดอกบานแค่ครั้งเดียวแล้วภายในสามสัปดาห์ต้นไม้ก็จะตาย
หากมัวแต่คิดล่วงหน้าว่าปลูกไปไม่นานก็ตาย ดอกไม้แค่บานไม่นาน หากคิดเช่นนั้น เราก็จะไม่เริ่มต้นลงมือปลูกแล้วเราก็จะไม่มีวันได้เห็นความงามของดอกชมจันทร์ , เช่นเดียวกับเรื่องรักของตัวละคร.
#Xspace #movie #FILMBEHINDYOU #i_behind_you #pyschology #ผมอยู่ข้างหลังคุณ #thehauntingofblymanor #series #mikeflanagan #horror #lovestory #inspiration #แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์
FILM BEHIND YOU คอลัมน์ใหม่ของนักเขียน คอลัมน์นิสต์ และจิตแพทย์ผู้รักการดูหนังและเขียนหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าของเพจดังในชื่อเดียวกับนามปากกา “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ("ผมอยู่ข้างหลังคุณ", [email protected]) อดีตคอลัมนิสต์นิตยสาร FILMAX และเจ้าของผลงานพ็อกเก็ตบุ๊กสุดฮิต “ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”, “ เมื่อฉันลืมตาแล้วโลกเปลี่ยนไป” และ “โลกหมุนรอบกลัว” ติดตามบทความวิเคราะห์เจาะลึกหนังเชิงจิตใจในสไตล์จิตแพทย์คนรักหนัง