Pakpoom Silaphan Atelier
วิถีแห่งป็อปอาร์ต ของศิลปินไทยผู้มีชื่อเสียงในระดับสากล ภาคภูมิ ศิลาพันธ์
ดังคำกล่าวของศิลปินป็อปอาร์ตตัวพ่ออย่าง ริชาร์ด แฮมิลตัน ที่ว่า “ป็อปอาร์ตคือความนิยมอันวูบวาบชั่วครู่ยาม ความย่อมเยาที่เข้าถึงคนทุกชนชั้น ความเหลือเฟือล้นหลากของระบบอุตสาหกรรม ความอ่อนเยาว์ หลักแหลม ความเซ็กซี่ พลิกแพลง ความเปล่งประกาย และความรุ่มรวยเงินทอง”
สุ้มเสียงของ “ป็อป” ในโลกศิลปะนั้นเป็นเฉกเช่นเสียงปริแตกของข้าวโพดคั่ว เสียงระเบิดจุกแชมเปญ และเสียงเปิดฝาจีบขวดน้ำอัดลม ห้วงเวลาเหล่านี้แม้จะคงอยู่แสนสั้นเพียงชั่วเสี้ยวอึดใจ แต่ก็ประทับจับใจผู้ได้ยินมิรู้ลืม เช่นเดียวกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นของป็อปอาร์ต ในการหยิบเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่ผู้คนคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงหลงใหลได้ปลื้มไม่ลืมหูลืมตามานำเสนอเป็นผลงานศิลปะอันสดใสฉูดฉาดบาดตาตรึงใจ
ไม่ว่าจะเป็นธงชาติ, แผนที่, เป้าปาลูกดอก ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคยอดนิยมอย่าง ซุปกระป๋องแคมป์เบล หรือเครื่องดื่มอัดลมยอดฮิตติดใจมหาชนอย่าง โคคา-โคลา หรือที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆ ว่า “โค้ก” หรือแม้แต่ภาพของบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคับฟ้า ทั้งดารา นักร้อง นักกีฬา เซเล็บฯ ซูเปอร์สตาร์ นักการเมือง ที่ล้วนแล้วแต่ถูกศิลปินป็อปอาร์ตทั้งหลายหยิบฉวยเอามาทำเป็นงานศิลปะอย่างเปี่ยมสีสัน
คุณสมบัติเหล่านี้นี่เอง ที่ปรากฏอยู่อย่างเปี่ยมเอกลักษณ์เฉพาะตัวในผลงานของศิลปินชาวไทยผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า ภาคภูมิ ศิลาพันธ์
ภาคภูมิถือกำเนิดที่จังหวัดสมุทรปราการ ใช้ชีวิตวัยเด็กในจังหวัดสุโขทัย และเดินทางไปเรียนต่อที่กรุงเทพมหานคร ในสาขาวิชาเครื่องเคลือบดินเผา คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากจบการศึกษา เขาหันเหไปทำงานในแวดวงโฆษณาอยู่สองปี ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนต่อทางด้านศิลปะที่สถาบัน แคมเบอร์เวล คอลเลจ ออฟ อาร์ตส และ เชลซี คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ ณ กรุงลอนดอน, ประเทศอังกฤษ
ภาคภูมิเริ่มต้นอาชีพทางศิลปะของเขาด้วยการทำงานที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะนีโอ-ดาดา ที่เป็นรากฐานของป็อปอาร์ต โดยเขาใช้เทคนิคปะติดเศษวัสดุเก็บตกเหลือใช้ อย่างกล่องบรรจุภัณฑ์, วอลเปเปอร์เก่าๆ เข้ากับชิ้นส่วนของสิ่งพิมพ์ต่างๆ อย่างพาดหัวข่าว และเกมปริศนาอักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์ ผสมผสานกับเทคนิคการพิมพ์ซิลค์สกรีน ที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่จับตาของเหล่านักสะสมงานศิลปะร่วมสมัยในลอนดอน
แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขากลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการศิลปะระดับโลกก็คือ ผลงานป็อปอาร์ตที่หยิบเอาภาพของบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับตำนานของโลกในแวดวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักร้องนักดนตรีผู้ยิ่งยงอย่าง เดวิด โบวี, เซ็กส์ซิมโบลดาวค้างฟ้าอย่าง มาริลิน มอนโร หรือศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในโลกศิลปะอย่างศิลปินแอบสแตรกเอ็กซ์เพรสชันนิสต์ตัวพ่อ แจ็คสัน พอลล็อค และเจ้าพ่อป็อปอาร์ต แอนดี้ วอร์ฮอล มานำเสนอในรูปแบบคล้ายภาพขาวดำในหนังสือพิมพ์ผสานกับภาพลายเส้นแบบการ์ตูนอันเรียบง่ายแต่เปี่ยมสไตล์
หากสิ่งที่ทำให้ผลงานของภาคภูมิแตกต่างจากศิลปินป็อปอาร์ตคนอื่นๆ ก็คือ เขาไม่ได้นำเสนอภาพของบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเหล่านี้บนผืนผ้าใบหรือกระดาษแบบเดียวกับที่ศิลปินคนอื่นทั่วๆ ไปทำ แต่สร้างสรรค์ภาพบุคคลเหล่านั้นลงบนป้ายโฆษณาน้ำอัดลมโลหะเก่าเก็บของไทยที่หลายๆ คนอาจเคยเห็นคุ้นตาในร้านค้าตามต่างจังหวัด ทั้งป้ายโค้ก, เป๊ปซี่, แฟนต้า, สไปรท์หรือ เซเว่นอัพ ป้ายโฆษณาโลหะสีสันสดใสฉูดฉาดประดับด้วยคราบสนิมและริ้วรอยของกาลเวลา ขับให้ภาพบุคคลที่อยู่บนป้ายโดดเด่นเปี่ยมเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ
ภาคภูมิยังถ่ายทอดภาพของบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับตำนานทั้งหลายลงบนลังใส่ขวดน้ำอัดลมไม้เก่ากรุ วางเรียงซ้อนกันจนท่วมหัว ผสานด้วยร่องรอยอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ปรากฏในผลงานของศิลปินเหล่านั้น จนกลายเป็นผลงานศิลปะจัดวางสื่อผสมอันแปลกตา ยังไม่นับรวมถึงผลงานประติมากรรมที่ยั่วล้อและสร้างบทสนทนากับผลงานของศิลปินหัวขบถในประวัติศาสตร์ได้อย่างสนุกสนานเปี่ยมอารมณ์ขัน
ผลงานเหล่านี้ของภาคภูมิ นอกจากจะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเหล่าบรรดาศิลปินหัวก้าวหน้าในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ทั้งผลงานภาพพิมพ์รูปป็อปไอคอนและประติมากรรมบรรจุภัณฑ์สินค้ายอดนิยมของ แอนดี้ วอร์ฮอล, ผลงานศิลปะวัตถุสำเร็จรูป หรือ เรดี้เมดส์ ของ มาร์แซล ดูชองป์, ผลงานศิลปะผสมผสานวัสดุสามมิติ หรือ แอสเซมเบลจ ของ แจสเปอร์ จอห์น และ โรเบิร์ต เราเชนเบิร์ก ฯลฯ ที่เขาเคยได้ประสบพานพบอย่างใกล้ชิดในยามที่ใช้ชีวิตและทำงานในลอนดอนแล้ว ภาคภูมิยังได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์เมื่อครั้งวัยเยาว์ที่เขาเคยไล่ตามเก็บป้ายโฆษณาน้ำอัดลมโลหะเก่าๆ เหลือทิ้งจากร้านค้าอย่างหลงใหล ตั้งแต่ครั้งที่เขาอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ติดพันเรื่อยมาจนกลายเป็นของสะสมส่วนตัวเมื่อย้ายมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อเขาได้เดินทางกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตและทำงานในกรุงลอนดอนนับสิบปี พอได้เห็นป้ายโฆษณาน้ำอัดลมเก่าเก็บที่เขาเคยเก็บสะสมเอาไว้ ประกายแห่งแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลงานชุดนี้จึงถูกจุดติดขึ้นมา
ผลงานศิลปะของภาคภูมิเป็นการผสมผสานวัตถุในวัฒนธรรมบริโภคนิยมอย่างป้ายโฆษณาน้ำอัดลม (หรือลังใส่ขวดน้ำอัดลม) อันเป็นสินค้าที่เข้าถึงคนทุกชนชั้น เข้ากับภาพของบุคคลระดับตำนานผู้เป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป็อป ทั้งนักร้องนักดนตรี ดารานักแสดง หรือศิลปินผู้พลิกโฉมหน้าวงการศิลปะและวงการสร้างสรรค์ในแขนงต่างๆ องค์ประกอบเหล่านี้ในผลงานของเขาต่างมีจุดร่วมกันในความเป็นสากลที่คนทั่วโลกสามารถรับรู้ เข้าถึง และเข้าใจได้ แม้จะอยู่กันคนละซีกโลก หรือมีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติ ภาษา หรือวัฒนธรรรมก็ตามที สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผลงานของภาคภูมิหยัดยืนโดดเด่นอย่างยากจะหาใครเสมอเหมือนในวงการศิลปะระดับสากล
นอกจากผลงานชุดป๊อปไอคอนบนป้ายน้ำอัดลมที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาแล้ว ภาคภูมิยังสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมที่ยั่วล้อและสร้างบทสนทนากับผลงานของศิลปินหัวขบถในประวัติศาสตร์ได้อย่างสนุกสนานเปี่ยมอารมณ์ขัน
รวมถึงผลงานจิตรกรรมสื่อผสมที่ทำขึ้นจากเศษเปลือกดินสอจากการเหลา ประกอบกันเป็นภาพสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมป๊อปหลากสีสันระยิบระยับจับตา สำหรับภาคภูมิ เปลือกดินสอเหล่านี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการฝึกฝนทุ่มเททำงานศิลปะของศิลปิน ไม่ต่างอะไรกับหยาดเหงื่อแห่งการทำงานสร้างสรรค์
ภาคภูมิเดินทางกลับมามีงานแสดงเดี่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า THE BIG BLUE VALVE (หัวจุ๊บสีน้ำเงิน) ที่จัดแสดงผลงานชุดใหม่ของภาคภูมิที่ไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน โดยนำเสนอผลงานประติมากรรมจัดวางเฉพาะพื้นที่ (Site-specific sculpture) ที่หยิบเอาสิ่งของธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันอย่าง “หัวจุ๊บเป่าลมยาง” ที่เราต่างเคยพบเห็นและคุ้นตาบนห่วงยางหรือตุ๊กตาเป่าลมตามสระว่ายน้ำหรือริมทะเล มานำเสนอในบริบทใหม่ ในสไตล์ป๊อปอาร์ต เพื่อสร้างบทสนทนากับพื้นที่แสดงงานอย่างเฉพาะเจาะจง รวมถึงสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ผ่านปรากฏการณ์อันเรียบง่ายอย่างการ “เข้า” และ “ออก” ของอากาศ ซึ่งอาจเปรียบได้กับการเข้าออกของลมหายใจ
ประติมากรรมชิ้นนี้ของภาคภูมิทำให้เราหวนนึกไปถึง ประติมากรรมนุ่มนิ่ม (Soft Sculpture) ผลงานเลื่องชื่อของหนึ่งในศิลปินป๊อปอาร์ตระดับตำนานอย่าง คเลยส์ โอเดนเบิร์ก (Claes Oldenburg) ที่หยิบเอาวัตถุข้าวของรอบตัวทั่วไปในชีวิตประจำวันมาสร้างขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่มหึมา ด้วยวัสดุที่มีผิวสัมผัสนุ่มนิ่ม (บางชิ้นก็ขึ้นรูปด้วยการเป่าลม) ราวกับภาคภูมิกำลังต่อยอดแนวคิดนี้ของโอเดนเบิร์ก ด้วยการเติมความสมจริงสมจังในแบบของงานศิลปะสำเร็จรูป (Readymades) อันลือลั่นของศิลปินหัวก้าวหน้าตัวพ่ออย่าง มาร์แซล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) ลงไปในผลงานชิ้นนี้ของเขา เขายังสร้างสรรค์ประติมากรรมหัวจุ๊บเป่าลมชิ้นนี้ด้วยวัสดุและกระบวนการแบบอุตสาหกรรม เพื่อให้มีรูปลักษณ์และฟังก์ชันแบบเดียวกันกับหัวจุ๊บเป่าลมยางของจริงอย่างไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ขยายขนาดให้ใหญ่โตกว่าหลายเท่า
คุณสมบัติที่ว่านี้ทำให้ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ของภาคภูมิ ไม่เพียงแสดงออกถึงความรู้สึกเปี่ยมสีสันฟูฟ่องในวัฒนธรรมป๊อปเท่านั้น ในขณะเดียวกันมันก็สะท้อนบทบาทหน้าที่อันสุดแสนสามัญที่เราพบเห็นจนชาชินในชีวิตประจำวันของวัตถุเหล่านี้อีกด้วย และแทนที่ประติมากรรมหัวจุ๊บยางชิ้นนี้จะถูกเป่าลมจนพองตัวกลายเป็นรูปเป็นร่างตามขนบของศิลปะป๊อปอาร์ต แต่ดูเหมือนมันกลับทำหน้าที่เป่าลมให้สิ่งอื่นพองตัวจนกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาขึ้นมาแทนเสียเองก็ไม่ปาน
ถ้าหากเศษเปลือกดินสอในผลงานชุดก่อนหน้าของภาคภูมิ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของหยาดเหงื่อแห่งการทำงานสร้างสรรค์ ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ของเขาก็เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของลมหายใจแห่งการทำงานสร้างสรรค์ ที่เป่าลมเติมเต็มให้สิ่งต่างๆ พองตัวจนกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่พื้นที่แสดงงานหลักอันใหญ่โตโอฬารของนิทรรศการครั้งนี้ถูกทำให้ว่างเปล่าหมดจด เพื่อแสดงผลงานประติมากรรมชิ้นนี้แค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ด้วยวิธีการจัดแสดงเช่นนี้ ทำให้เราอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า หรือพื้นที่แสดงงานแห่งนี้กำลังถูกเป่าลมด้วยหัวจุ๊บยาง จนกลายเป็นตัวอาคารตั้งตระหง่านขึ้นมาก็เป็นได้ ใครจะไปรู้!
นอกจากนี้ยังมีผลงานภาพพิมพ์ซิลค์สกรีนที่จำลองมาจากผลงานประติมากรรมหัวจุ๊บสีน้ำเงิน ที่ศิลปินย้อนร้อยกระบวนการสร้างสรรค์ของตนเองมาตีความใหม่และผลิตซ้ำในระบบอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับกระบวนการทำงานของศิลปินเจ้าของฉายา “เจ้าพ่อป๊อปอาร์ต” อย่าง แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) อีกด้วย
ภาคภูมิมีผลงานจัดแสดงในนิทรรศการในแกลเลอรีชั้นนำทั้งในลอนดอน, ลิเวอร์พูล, ประเทศอังกฤษ และอีกหลายประเทศทั่วโลก ทั้งนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ฮ่องกง, ฝรั่งเศส ผลงานของเขาถูกสะสมโดยพิพิธภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งนิวยอร์ก (MoMA), พิพิธภัณฑ์บรูคลิน รวมถึงถูกสะสมโดยนักสะสมศิลปะร่วมสมัยชั้นนำของโลกอย่าง เซอร์ พอล สมิธ , มินนี่ ไดรเวอร์ และ ริชาร์ด เคอร์ติส เป็นต้น.
ขอบคุณภาพจาก GQ Thailand ถ่ายภาพโดย พัชคุณ ชมชัดรัชมงคล
สนใจสอบถามข้อมูลโปรดติดต่อ
Official Line : @xspace หรือคลิก https://lin.ee/IoAkEaF
โทรศัพท์ : 06-6073-2332
อีเมล: [email protected]
=====================
for english please scroll down
=====================
The Way of Pop Art : Pakpoom Silaphan the Internationally Renowned Thai Artists
Refer to the quotes of Richard Hamilton, the father of pop art, “Pop art is popular, transient, expendable, low-cost, mass-produced, young, witty, sexy, gimmicky, glamorous, and big business.”
The sound of “POP” in the art world is like the cracking sound of popcorn, the exploding of champagne corks, and the opening of the soft drink crimped bottle cap. Even though these are merely short moments, just for a fraction of time, it was impressive to catch the hearts of those to remember. Same as the distinctive identity of pop art. It picks up the daily little things that people are familiar with, fascinate, rejoicing, and remembering to present as a bright, flashy work of art.
Pop art artists pick anything up, from flags, maps, targets, to the most popular consumer products like Campbell canned soup, or a popular carbonated drink, such as Coca-Cola (or Coke), or the image of legendary People, such as celebrities, singers, athletes, celebs, superstars, politicians to make their colorful artworks.
These are the properties that appear uniquely in this Thai artist artworks whose are outstanding and recognized internationally, Pakpoom Silaphan.
Pakpoom was born in Samut Prakan province. He spent his childhood in Sukhothai and graduated from the Department of Ceramics, Faculty of Decorative Arts, Silpakorn University, Bangkok. After graduation, he worked with an advertising agency for two years. After that, he continued studying at Camberwell College of Arts and Chelsea College of Art & Design in London, UK.
Pakpoom began his artistic career with work influenced by the Neo-Dada art movement. That paved the way for pop art. He used collage techniques and found objects like packaging boxes, old wallpapers, mixed with the various parts of publications like headlines and newspaper crosswords, combined with silkscreen printing techniques. That made him a spot of interest for contemporary art collectors in London.
The works that made him widely known at the international level are the pop art artworks that portray the most famous and legendary people in various fields. Such as the great singer and musician noted David Bowie, the star-studded sex star Marilyn Monroe, the leading figure in abstract expressionism, Jackson Pollock, the godfather of pop art Andy Warhol. He presents them in a black and white newspaper-like merged with basic but stylish cartoon drawing lines.
He creates those portraits on the old metal soft drink billboard advertisement instead of on the canvas or paper as for other artists. That sets his artworks apart from the others. Material that many people may have seen familiar in the upcountry stores. Coke, Pepsi, Fanta, Sprite, or Seven-Up billboards, brightly colored metal billboards adorned with rust and aging stains. It makes the portraits on the sign stand incredibly charming.
Pakpoom also relayed the figures of various legends on the old wooden crates of soda bottles. They are stacked together to the head height, combined with traces of those legendary identities. It became an incredible work of mixed media installation art. Not to mention the sculptures that tease and create the humorous dialogue with those historic rebellious people.
Those works of the avant-garde artists in Western art history. Printmaking and product packaging sculpture of the pop icon Andy Warhol. The readymades of Marcel Duchamp. The assemblage of Jasper Johns and Robert Rauschenberg. Or others that he familiar with while living and working in London are not the only things that influence his artworks. He passionately kept the leftover old metal soft drink billboards from the stores while he was in Sukhothai during his childhood. They became his collection when he moved to Bangkok. When he returned to Thailand after living and working in London for ten years, these billboards sparked the inspiration for this series.
Pakpoom artworks are a mixture of the objects in consumerism culture, such as soft drink billboards or crates. The product is accessible to all classes of people. The image of a legendary people who is a symbol of pop culture. Either singers, musicians, celebrities, performers, or the artists who transformed the arts and creativities in various fields. The elements of his artworks share a universal common point. People can perceive, reach and understand despite their nationality, racial, linguistic, or cultural differences. These make his works stand so outstanding that it is hard to find someone to compare in an international level.
Pakpoom has his works exhibited in the leading gallery exhibitions in London, Liverpool - UK, and many other countries, such as New York and California - the USA, Japan, India, Hong Kong, and France. The world-class museums, The New York Museum of Modern Art (MoMA), The Brooklyn Museum, collect his artworks. So does the world's leading contemporary art collector, Sir Paul Smith, Minnie Driver, Richard Curtis, etc.
It is an opportunity for Thai art fans to experience the world-class pop art of Pakpoom for the first time at Xspace Gallery. Stay tuned!
Photo by courtesy of GQ Thailand : Phattchakhun Chomchudrattchamongkon
Interested in artworks please contact
Official Line : @xspace or click https://lin.ee/IoAkEaF
Tel : 06-6073-2332
E-mail: [email protected]