ARTWORKS ARTISTS BOOKS EXHIBITION BLOG
Art Behind Film

งานศิลปะในหนังไซไฟสุดมืดหม่นระดับตำนาน Children of Men

Art Behind Film

งานศิลปะในหนังไซไฟสุดมืดหม่นระดับตำนาน Children of Men


ถ้าพูดถึงหนังไซไฟเกี่ยวกับโลกอนาคตอันหดหู่มืดมน หรือที่เรียกกันว่าหนังไซไฟแบบดิสโทเปีย (Dystopia) แล้ว มีหนังเรื่องหนึ่ง ที่ในปัจจุบันกลายเป็นหนังไซไฟดิสโทเปียคลาสสิคตลอดกาลในดวงใจของคนรักหนังหลายคนไปแล้ว หนังเรื่องนั้นเป็นผลงานของผู้กำกับดีกรีรางวัลออสการ์อย่าง อัลฟองโซ กัวรอง (Alfonso Cuarón) เจ้าของผลงานชั้นเยี่ยมอย่าง Great Expectations (1998), Y tu mama tambien (2001), Harry Potter and The Prisoner of Azkaban (2004) และ Gravity (2013) ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ และมาคว้ารางวัลเดียวกันอีกครั้งใน Roma (2018)

หาแต่หนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีสอีกชิ้นของเขาที่นักดูหนังหลายคนอาจหลงลืมไปก็คือหนังไซไฟเรื่องที่เรากำลังจะพูดถึงที่มีชื่อว่า

Children of Men (2006)

ที่เล่าเรื่องราวของโลกอนาคตในปี 2027 ที่มวลมนุษยชาติตกอยู่ในวิกฤติแห่งความสิ้นหวัง เหตุเพราะมนุษย์ไม่สามารถตั้งครรภ์และมีลูกเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้อีกต่อไป เรื่องราวในหนังเริ่มต้นขึ้นด้วยการตายของชายคนหนึ่ง ซึ่งคงไม่สำคัญอะไรถ้าเขาไม่ได้บังเอิญเป็นมนุษย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก และเหตุการณ์นี้เองที่นำพาให้เกิดความสิ้นหวัง เศร้าโศก และก่อให้เกิดความวุ่นวายและเหตุร้ายขึ้นทั่วโลก และทำให้มนุษยชาติต้องเผชิญหน้ากับจุดจบแห่งการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์

ท่ามกลางความสิ้นหวังและความวุ่นวายนี้เอง ธีโอ (ไคลฟ์ โอเวน) ชายหนุ่มพนักงานรัฐชาวลอนดอนผู้ใช้ชีวิตอย่างซังกะตายได้พบกับ จูเลียน (จูเลียนน์ มัวร์) อดีตคนรักเก่าและหัวหน้ากลุ่มกบฏการเมือง ผู้ที่ชักนำให้เขาเข้าไปพัวพันเข้ากับความลับอย่างหนึ่ง ซึ่งความลับนี้เองที่จะกลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวัง ท่ามกลางความมืดมนที่เป็นอยู่ และไปๆ มาๆ เขาก็ดันตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นฮีโร่จำเป็น ที่จะช่วยกู้วิกฤติแห่งอนาคตของมวลมนุษยชาติ

ด้วยฝีมือการกำกับ การสร้าง บวกกับการแสดงชั้นดีของเหล่านักแสดงนำมากฝีมือ ทำให้ Children of Men เป็นผลงานอีกเรื่องหนึ่งที่นักดูหนังคุณภาพไม่อาจพลาดได้ และที่สำคัญนี่เป็นหนังแอ็คชั่นเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ ที่พระเอกใส่รองเท้าแตะ (หนีบ) เกือบครึ่งเรื่อง!

ถ้าใครเคยดูหนังแล้ว คงจะจำฉากที่ ธีโอ พระเอกของเราต้องเข้าไปพบกับญาติสนิทผู้เป็นบิ๊กในรัฐบาล อย่าง ไนเจล (แดนนี่ ฮุสตัน) ณ อาคารนิวาสถานของเขา หรือในอีกนัยหนึ่ง มันก็คือ ‘Ark of the Arts’ หรือ ‘กรุศิลปะ’ ที่ใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาศิลปวัตถุอันมีค่าทั้งหลายแหล่ของโลกเอาไว้ ท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวายนั่นเอง ซึ่งในสถานที่นี้เองที่ ธีโอ (และคนดู) ได้มีโอกาสยลผลงานศิลปะชิ้นเอกของศิลปินเอกของโลกสองคนมาปรากฏอยู่ในสถานที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ให้เห็นเป็นบุญตา

ผลงานศิลปะชิ้นเอกชิ้นแรก ปรากฏตัวขึ้นในก้าวแรกที่ธีโอย่างเหยียบเข้าไปภายในห้องโถงของอาคารแห่งนั้นก็คือ ผลงานประติมากรรมอันเลื่องชื่อที่สุดของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคเรอเนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการที่มีชื่อว่า

เดวิด (David) (1501-1504)

ผลงานของ ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ประติมากร จิตรกร และ สถาปนิกชื่อดังชาวอิตาลี เติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ เขาได้รับการยอมรับให้เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกผู้หนึ่ง ไม่ใช่แต่ในยุคเรอเนสซองส์เท่านั้น หากแต่เป็นในทุกยุคสมัยนับแต่อดีตกาลจวบจนปัจจุบัน ผลงานของเขาไม่ได้มีเพียงแค่งานประติมากรรมเท่านั้น แต่ยังมีจิตรกรรม สถาปัตยกรรม งานออกแบบตกแต่งภายใน ฯลฯ และทุกชิ้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและยิ่งใหญ่คับฟ้าด้วยกันทั้งสิ้น

‘เดวิด’ ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1501-1504 เป็นประติมากรรมแกะสลักหินอ่อนรูปเปลือยของวีรบุรุษและกษัตริย์ชาวยิวผู้ยิ่งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล มีความสูงถึง 5.17 เมตร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอิสระและพลังแห่งชีวิตอันงดงาม และกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองฟลอเรนซ์จวบจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน เดวิด ยืนตระหง่านอยู่ที่ Galleria dell’Accademia เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ส่วน ‘เดวิด’ ที่ขาหักจากการถูกทำลายจากฝูงจารชนที่ปรากฏอยู่ในหนัง เป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาใหม่ (แหงดิ) แต่มันก็ยังคงแผ่มนต์ขลังของความสง่างามและสูงส่งอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

มีเกร็ดขำๆ เกี่ยวกับรูปแกะสลักชิ้นนี้ว่า ตอนที่ไมเคิลแองเจโลเพิ่งแกะสลักรูปเดวิดนี้เสร็จ มีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการวิพากษ์วิจารณ์และติเตียนว่าจมูกของรูปปั้นใหญ่เกินไป ให้แก้เสีย ไมเคิลแองเจโลเลยตัดรำคาญด้วยการแอบกำเศษผงหินอ่อนปินขึ้นไปบนรูปแกะสลักแล้วทำท่าขยุกขยิกให้เศษหินอ่อนร่วงลงมา พระผู้ใหญ่เห็นดังนั้นก็เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า “เห็นไหมลูก! ดีขึ้นเยอะเลย พ่อบอกเจ้าแล้ว” แล้วก็จากไปแต่โดยดี (อ่านะ!)

มีผลงานของไมเคิลแองเจโลอีกชิ้นที่ถูกกล่าวถึงแต่ไม่ได้ปรากฏในหนัง เขาว่ามันถูกฝูงชนที่บ้าคลั่งทำลายทิ้งไป (ในหนังนะ) โดยที่ไนเจลไม่สามารถช่วยเอาไว้ได้ ผลงานชิ้นนั้นมีชื่อว่า

ปิเอต้า (Pietà) (1498–99)

ประติมากรรมแกะสลักรูปพระแม่มารีตระกองกอดพระศพของพระเยซูที่เพิ่งลงจากกางเขน ซึ่งเป็นผลงานประติมากรรมที่ถือกันว่างดงามที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกไม่แพ้เดวิดเลยทีเดียว

เรื่องตลกร้ายก็คือ ในความเป็นจริงรูปแกะสลักปิเอต้าเคยถูกทุบทำลายจนเสียหายมาแล้ว โดยในวันที่ 21 พฤษภาคม 1972 ชายวิกลจริตคนหนึ่งถือค้อนเข้ามาทุบที่รูปแกะสลักพร้อมกับตะโกนร้องว่า “กูคือพระเยซู!” จนเสียหายหลายส่วน รวมทั้งส่วนใบหน้าและจมูกของพระแม่มารี เหตุการณ์นี้เป็นการขยี้หัวใจของชาวอิตาลีและคนรักงานศิลปะทั่วโลกกันเลยทีเดียว ปัจจุบันปิเอต้าได้รับการซ่อมแซมจนกลับไปอยู่ในสภาพปกติ และถูกแสดงอยู่ภายในตู้อครีลิกใสกันกระสุนใน St Peter’s Basilica (1498–99) จวบจนปัจจุบัน

ผลงานศิลปะชิ้นเอกของโลกชิ้นที่สองปรากฏตัวขึ้นในฉากที่ธีโอนั่งคุยกับ ไนเจล ญาติของเขาในห้องอาหาร คือผลงานเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) อย่าง พาโบล ปิกัสโซ่ (Pablo Picasso) ผลงานที่ปรากฏในห้องอาหารชิ้นนี้เป็นผลงานจิตรกรรมที่ทรงคุณค่าที่สุดชิ้นหนึ่งของเขาที่ทำขึ้นเพื่อต่อต้านสงคราม มันมีชื่อว่า

เกอร์นิกา (Guernica) (1937)

โดยในปี 1937 รัฐบาลสเปนได้ว่าจ้างให้ปิกัสโซ่ซึ่งลี้ภัยการเมืองอยู่ที่ฝรั่งเศสวาดภาพฝาผนังขนาดใหญ่สำหรับแสดงในศาลาสเปนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการศิลปะนานาชาติในงานเวิลด์แฟร์ที่กรุงปารีส

ในช่วงที่เริ่มทำงาน เขาได้ข่าวโศกนาฏกรรมที่เกอร์นิกา หมู่บ้านชนบทเล็กๆ ในแคว้นบาสก์ในสเปน ประเทศบ้านเกิดของเขา ที่ถูกรัฐบาลเผด็จการของนายพลฟรังโก อาศัยกองกำลังทหารนาซีและฟาสซิสต์บุกโจมตีและทิ้งระเบิดปราบปรามผู้ต่อต้านจนย่อยยับในสงครามกลางเมือง ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นจำนวนมากไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรี ทำให้เขาเกิดความโกรธแค้นเป็นอย่างมากและตัดสินใจวาดภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเกอร์นิกาขึ้นมา ปิกัสโซ่ลงมือเขียนภาพขนาดใหญ่ถึง 3.89 x 7.76 เมตร ด้วยสีน้ำมันทาบ้านที่เขาสั่งทำเป็นพิเศษ มันเป็นภาพเขียนแบบคิวบิสซึ่มที่ใหญ่สุดที่เขาเคยทำมา เขาตั้งชื่อมันว่า Guernica และกล่าวถึงภาพภาพนี้ว่า

“สงครามครั้งนี้ของสเปนคือการต่อสู้ของรัฐบาลฝ่ายขวาจัดที่ต่อต้านประชาชน ต่อต้านเสรีภาพ ชีวิตในการเป็นศิลปินของผมตลอดมานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการต่อสู้อย่างต่อเนื่องยาวนานกับฝ่ายขวาจัดและความตายของศิลปะ อย่างนั้นแล้วจะมีใครหน้าไหนคิดว่าผมจะมีความเห็นพ้องกับฝ่ายขวาจัดและความตายได้อีก? ในภาพที่ผมกำลังวาดอยู่นี้ ซึ่งผมจะเรียกมันว่า เกอร์นิกา ผมได้แสดงออกถึงความชิงชังชนชั้นเผด็จการและทหารที่ทำให้สเปนจมดิ่งอยู่ในทะเลแห่งความเจ็บปวดและความตายอย่างที่มันเป็นอยู่”

เขาใช้เวลาวาดภาพนี้ถึง 35 วัน มันแล้วเสร็จในวันที่ 4 มิถุนายน 1937 มันเป็นภาพวาดแบบคิวบิสซึ่มที่แสดงภาพอันบิดเบี้ยวของหญิงสาวที่ร่ำไห้อุ้มศพลูกน้อยในอ้อมแขน เหนือศีรษะของเธอมีวัวยืนเบิ่งตาเบิกโพลง ภาพของซากศพทหารที่นอนตาย ภาพของม้าที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน ภาพของคนที่กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง

ถึงแม้จะเป็นภาพในโทนขาวดำแบบเดียวกับภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ แต่มันก็แสดงออกถึงความเจ็บปวดและความตายได้อย่างน่าสะเทือนใจ ด้วยภาพวาดภาพนี้ ปิกัสโซ่ใช้เทคนิคของงานศิลปะสมัยใหม่ถ่ายทอดความเลวร้ายน่าสยดสยองของสงครามได้อย่างทรงพลังยิ่ง

เมื่อภาพนี้เสร็จ มันถูกนำออกแสดงในงานเวิลด์แฟร์ที่กรุงปารีส และด้วยความที่ปิกัสโซ่มีเจตนารมณ์ว่าตราบใดที่ประเทศสเปนยังอยู่ในเงื้อมมือของเผด็จการ และยังไม่คืนสู่ความเป็นเสรีภาพและประชาธิปไตย เขาจะไม่ยอมให้ภาพนี้ถูกส่งกลับคืนไปที่นั่นเป็นอันขาด

ดังนั้น หลังจากถูกนำไปแสดงในหลายประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา ภาพนี้จึงถูกเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งนิวยอร์ก (MOMA)

จนกระทั่งหลังจากที่นายพลฟรังโกเสียชีวิตในปี 1975 สเปนก็เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ในที่สุด ภาพเกอร์นิกาก็ถูกนำกลับสู่สเปนในปี 1981 และถูกเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Reina Sofía ในกรุงมาดริด จวบจนปัจจุบัน

และไม่ว่าจะเกิดสงครามขึ้นครั้งใดในโลก ภาพ เกอร์นิกา ก็มักจะถูกยกมาเป็นตัวอย่างของการต่อต้านสงครามอยู่เสมอมา

มีเรื่องเล่ากันว่า ในช่วงที่ปิกัสโซ่อยู่ที่ปารีสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่นาซียาตราทัพเข้ามาศิลปินขบถหัวเอียงซ้ายอย่างเขาย่อมตกเป็นเป้าหมาย ในขณะที่เขาถูกสอบสวนตรวจค้นสตูดิโอ รอบแล้วรอบเล่าอยู่นั้น ครั้งหนึ่งเขายื่นภาพโปสการ์ดที่เป็นรูปของภาพวาดเกอร์นิกาให้เจ้าหน้าที่นาซี หมอนั่นหยิบมาดูแล้วถามด้วยความเย้ยหยันว่า 

“ตกลงคุณเป็นคนทำมันขึ้นหรอกเหรอ?”

ปิกัสโซ่สวนกลับไปทันควันว่า 

“ไม่ พวกคุณนั่นแหละที่เป็นคนทำ!”

นอกจากผลงานศิลปะชิ้นเอกสองชิ้นของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่สองคนที่ปรากฏในหนังสองคนแล้ว ยังมีงานศิลปะอีกชิ้นที่โผล่แว๊บๆ ในหนัง แต่กลับเรียกความสนใจของคนดูหนังได้ไม่น้อย นั่นก็คือบอลลูนรูปหมูที่โผล่ขึ้นมาเหนืออาคารกรุศิลปะของไนเจล ซึ่งความจริงแล้วทั้งบอลลูนทั้งอาคารหลังนี้ เคยปรากฏตัวในฐานะปกอัลบั้มชิ้นหนึ่งของวงดนตรีโปรเกรสซีพร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษอย่าง พิงค์ ฟลอยด์ (Pink Floyd) นั่นเอง อัลบั้มชุดที่ว่านั้นมีชื่อว่า

Animals (1977)

ปกอัลบั้มออกแบบโดย สตอร์ม ธอร์เกอร์สัน (Storm Thorgerson) แห่งกลุ่มดีไซน์ Hipgnosis (อ่านว่า ‘ฮิปโนซิส’) ที่เชี่ยวชาญในการออกแบบปกอัลบั้มให้กับนักดนตรีร็อกชื่อดังระดับตำนานหลายต่อหลายวง ไม่ว่าจะเป็น Pink Floyd, UFO, Bad Company, Led Zeppelin, AC/DC, Yes, The Alan Parsons Project และ Genesis ผลงานของพวกเขามักจะเป็นภาพถ่ายอันอลังการที่สร้างขึ้นด้วยการจัดฉากถ่ายขึ้นจริงๆ (ก็สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์กราฟิกนี่นา!)

ดีไซน์และแนวคิดของปกอัลบั้มนี้มาจากไอเดียของ โรเจอร์ วอเตอร์ส ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการทำคอนเซ็ปต์อัลบั้มชุดนี้มาจากนวนิยาย Animals Farm (1945) ของนักเขียนอังกฤษ จอร์จ ออร์เวล ซึ่งตอนแรกธอร์เกอร์สันไม่พอใจ เพราะทางวงปฏิเสธไอเดียแรกของเขา แต่ไอเดียของหมูบินและผลงานที่เสร็จสมบูรณ์กับผลตอบรับที่ออกมาได้อย่างวิเศษจนธอร์เกอร์สันต้องยอมรับมันในที่สุด

หมูสีชมพู (ซึ่งเป็นตัวละครเอกในนวนิยาย Animals Farm) หรืออันที่จริง บอลลูนหมู ที่ชื่อเล่นว่า อัลจี้ (Algie) ตัวนี้ มีขนาด 20 x 30 ฟุต ซึ่งทางวงจ้างบริษัทผลิตบอลลูนและเรือเหาะของเยอรมันอย่าง Ballon Fabrik และศิลปินชาวออสเตรเลียน เจฟฟรีย์ ชอว์ ทำขึ้นมา บอลลูนยางอัดด้วยแก๊ซฮีเลียมตัวนี้ถูกทำขึ้นเพื่อให้มันลอยอยู่เหนืออาคาร Battersea Power Station ซึ่งเป็นอาคารผลิตพลังงานถ่านหินหลังเก่าของรัฐบาลอังกฤษ ที่วอเตอร์สเคยขับรถผ่านทุกวันและเกิดความประทับใจจนนำมันมาใช้เป็นฉากของปกอัลบั้มนี้ของวง (ซึ่งอาคารนี้ก็ถูกใช้เป็นฉากหลังในหนัง ซึ่งสมมุติให้เป็นอาคารกรุศิลปะของไนเจลนั่นเอง)

ในตอนแรกธอร์เกอร์สันเสนอแนะว่าไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพบอลลูนหมูในสถานที่จริงก็ได้ เพราะเขาสามารถเอามาตัดแปะทีหลังได้อยู่แล้ว แต่วอเตอร์สไม่ยอม เขายืนยันว่าทุกอย่างต้องถ่ายทำจริงๆ จากสถานที่จริง ธอร์เกอร์สันยอมรับในภายหลังว่าวอเตอร์สเป็นฝ่ายถูก คุณค่าความงาม คุณภาพทางอารมณ์ และความดีความงามของผลงานชิ้นนี้มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะมันถูกทำขึ้นจริงๆ ในสถานที่จริงและมันก็เป็นแนวคิดหลักในการทำงานร่วมกันระหว่าง Pink Floyd และ Hipgnosis อย่างต่อเนื่องยาวนานในเวลาต่อมา

เจ้าบอลลูนหมูอัลจี้ตัวนี้กลายเป็นสัญลักษณ์อันโด่งดังและถูกนำไปปรากฏตัวในสื่อต่างๆ หลายต่อหลายครั้ง อาทิเช่นหนัง Children of Men (2006) ที่ปรากฏตัวขึ้นในหนังเหมือนกันกับบนปกอัลบั้มของพิงค์ ฟลอยด์เดี๊ยะๆ โดยว่ากันว่าผู้กำกับจำลองฉากนี้ขึ้นเพื่อเป็นการแสดงคารวะต่อ Pink Floyd นั่นเอง และก่อนหน้านั้นเจ้าหมูอัลจี้ตัวเดียวกันนี้ก็ได้ไปปรากฏตัวอยู่ในหนังการ์ตูนชุด The Simpsons ในตอน Homerpalooza และมันยังถูกนำไปใช้ในการแสดงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2012 ณ กรุงลอนดอนที่กำกับโดย แดนนี บอยล์ อีกด้วย

นอกจากเต็มไปด้วยงานศิลปะชั้นเยี่ยมแล้ว Children of Men ยังเป็นหนังที่ศิลปินร่วมสมัยคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยปัจจุบันอย่าง ฮิโต สเตเยิร์ล (Hito Steyerl) กล่าวยกย่องในหนังสือ Duty Free Art: Art in the Age of Planetary Civil War ของเธอว่า เป็นหนังอันยอดเยี่ยมที่นำเสนอหนทางอีกแบบที่สถาบันศิลปะน่าจะใช้ในการตอบสนองต่อสภาวะสงครามกลางเมืองที่ลุกลามไปทั่วโลก 

ฮิโตกล่าวในหนังสือว่า ด้วยความที่หนังนำเสนอโลกอันมืดมนในอนาคตอันไม่ห่างไกลนัก ที่มวลมนุษยชาติต่างกลายเป็นหมัน ไม่อาจสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันที่สงครามกลางเมืองที่ลุกลามไปทั่วโลกกำลังกลืนกินสหราชอาณาจักร เกิดการแบ่งแยกแผ่นดินอังกฤษออกเป็นพื้นที่ของค่ายกักกันผู้ลี้ภัยและคนไร้เอกสารยืนยัน กับพื้นที่ของอภิสิทธิ์ชนและพลเมือง ที่ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นโลกอนาคตแบบดิสโทเปียอย่างแท้จริง 

แต่ในทางกลับกัน โลกอนาคตอันมืดมนในหนังเรื่องนี้ก็ยังมีที่ทางสำหรับศิลปะ โดยหนังเล่าว่า ผลงานศิลปะล้ำค่าของโลกทั้งหลายแหล่ ถูกเก็บเอาไว้ใน “กรุศิลปะ” (Ark of the Arts) สถาบันที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงศิลปะ (ในหนัง) ฉากนี้ถูกเซ็ตฉากขึ้นใน Turbine Hall หอศิลป์เทตโมเดิร์น อันเลื่องชื่อในกรุงลอนดอน (ส่วนฉากภายนอกเป็นอาคารโรงไฟฟ้าถ่านหิน Battersea Power Station ในลอนดอน*) 

ฉากแรกที่ธีโอ ตัวละครเอกในหนังเดินเข้าไปภายในอาคารแห่งนี้ มีผลงานประติมากรรม "เดวิด" (1501–1504) ของไมเคิลแองเจโล ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า แต่ท่อนขาของประติมากรรมชิ้นนี้กลับหักสะบั้นไปเพราะถูกทำลายในการจลาจลดังที่กล่าวเอาไว้ในหนัง 

การทำลายโบราณวัตถุและโบราณสถานของกลุ่มก่อการร้ายดาอิช (Daesh) ที่ทำการวินาศกรรมและปล้นสะดมวัตถุทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาระหว่างที่สหรัฐอเมริการุกรานอิรัก ทำให้เกิดคำถามว่า จะดีแค่ไหนถ้าเรามีกรุศิลปะที่คอยกอบกู้โบราณวัตถุและโบราณสถานของเมืองโบราณพัลไมราหรือนิเนเวห์ในอิรัก และปกป้องสมบัติทางวัฒนธรรมเหล่านี้จากความรุนแรง?

อย่างไรก็ตาม "กรุศิลปะ" ในหนังเรื่องนี้เองก็เป็นสถาบันที่ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าหน้าที่ของมันคืออะไร ในอีกซีนหนึ่งในหนัง ภาพวาด Guernica (1937) ของปิกัสโซ่ ถูกแขวนประดับห้องรับประทานอาหารส่วนตัวของผู้อำนวยการสถาบัน เช่นนั้น กรุศิลปะ อาจเป็นสถาบันที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างสูง ที่คนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะได้ดูงานศิลปะที่เก็บรักษาเอาไว้ในที่นั่น อย่างเช่นผู้อำนวยการสถาบัน ครอบครัว ลูกๆ หรือคนรับใช้ของเขาเท่านั้น แต่นี่ก็อาจะเป็นวิวัฒนาการของพื้นที่จัดเก็บศิลปะในในปัจจุบัน ที่งานศิลปะต่างๆ หายสาบสูญไปอยู่ในคลังเก็บงานศิลปะที่มีสภาวะล่องหน และแน่นอนว่าปลอดภาษี

นอกจากเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแบบเบียนนาเล่แล้ว รูปแบบอันสำคัญที่สุดอีกอย่างของโลกศิลปะก็คือ พื้นที่จัดเก็บศิลปะปลอดภาษี (Free port) ซึ่งไม่ต่างอะไรกับอำนาจที่ครอบงำอยู่เบื้องหลังเทศกาลศิลปะเบียนนาเล่ต่างๆ

ในช่วงเวลาที่ความฝันแบบเสรีนิยมของความเป็นโลกาภิวัฒน์และแนวคิดความเป็นพลเมืองของโลกถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และพบว่ามันเป็นเพียงแค่ฝูงชนจากหลายขั้วอำนาจ ทั้งจากกลุ่มคณาธิปไตย หรือชนชั้นนำผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ, กลุ่มทุนสามานย์ยักษ์ใหญ่, ผู้นำทหาร, ผู้นำเผด็จการ และคนไร้รัฐไร้สัญชาติที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ๆ อีกจำนวนมหาศาล

ฮิโตยังตั้งคำถามถึงสถานภาพของงานศิลปะ เมื่องานศิลปะชิ้นเอกของโลกถูกปั่นราคาจนแพงมหาศาลในตลาดเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจจนสูญเสียคุณค่าในตัวมันเอง และกลายเป็นสินทรัพย์สูงค่า ที่ถูกเก็บเอาไว้ในพื้นที่จัดเก็บศิลปะปลอดภาษีเหล่านี้

ในขณะที่งานศิลปะเหล่านั้นถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ในสภาวะอุณหภูมิที่ถูกควบคุมอย่างเหมาะสม ปลอดความชื้น ปลอดภัยจากการวินาศกรรม และสงครามกลางเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เพียงถูกสงวนเอาไว้ให้อภิสิทธิ์ชนเพียงไม่กี่คนได้เห็นมัน

ฮิโตกล่าวว่า สำหรับเธอ ศิลปะจะไม่เป็นศิลปะ ถ้ามันไม่สามารถถูกคนส่วนใหญ่มองเห็น เธอตั้งคำถามว่า การที่ศิลปะถูกสถาบันเก็บรักษาเอาไว้อย่างแน่นหนาจนคนทั่วไปเข้าถึงไม่ได้ จะทำให้ศิลปะหมดคุณค่าและความหมายที่มันเป็นตั้งแต่แรกลงไปหรือไม่? เป็นคำถามที่ฮิโตทิ้งไว้ให้คนในวงการศิลปะต้องขบคิดกัน

จัดหนักจัดเต็มด้วยรายละเอียดและพื้นเพทางศิลปะอันลุ่มลึกขนาดนี้ บอกได้คำเดียวว่าคอหนังผู้รักศิลปะไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง!

#Xspace #artgallery #artbehindfilm #art #movie #childrenofmen #alfonsocuarón #arkofthearts #david #pietà #michelangelo #guernica #pablopicasso #pigballoon #algie #pinkfloyd #animals #stormthorgerson #hipgnosis #artofart#แรงบันดาลใจจากงานศิลปะในภาพยนตร์

.

.

.

Art Behind Film เป็นคอลัมน์ที่นำเสนอแรงบันดาลใจจากงานศิลปะที่เบื้องหลังหนังเรื่องต่างๆ โดย ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คอลัมนิสต์ศิลปะแห่งมติชนสุดสัปดาห์ เจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊ก ART IS ART, ART IS NOT ART อะไร (แม่ง) ก็เป็นศิลปะ และ INSIDE ART, OUTSIDE ART ข้างนอกข้างในอะไร (แม่ง) ก็ศิลปะ ที่เล่าเรื่องราวศิลปะด้วยลีลาอ่านง่าย ไม่ต้องปีนกระได ติดตามได้ทุกวันอาทิตย์ใน Xspace

.

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะและงานสร้างสรรค์ที่สนุกสนานและน่าสนใจได้ที่ Xspace

▪️Official Line : @xspace or click https://lin.ee/IoAkEaF

▪️Facebook : Xspace

▪️Twitter : twitter.com/Xspaceart

▪️Instagram : instagram.com/Xspaceartgallery

▪️Pinterest: https://pin.it/5eLSb64






More to explore