FILM BEHIND YOU
Vertigo - ยิ่ง(ดู)ซ้ำยิ่งสนุก
“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”
Vertigo เป็นชื่ออาการที่มีลักษณะสูญเสียการทรงตัว เช่น วิงเวียนหรือรู้สึกคล้ายบ้านหมุน
ต้นเหตุมักเป็นโรคทางหูชั้นใน, สมองและระบบประสาท, หรือจากยาบางอย่าง ฯลฯ
แต่สำหรับนายตำรวจจอห์น สก็อตตี้ เฟอกูสัน , อาการวิงเวียนเหมือนจะวูบของเขาเกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุขณะทำงาน
ขณะวิ่งไล่ตามจับคนร้ายบนหลังคาบ้านหนึ่งกระโดดข้ามไปอีกหลังหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เขาหวิดร่วงจากหลังคาตกพื้น เพื่อนตำรวจที่ตามจับคนร้ายด้วยกันยื่นมือจะช่วยขณะเขาโหนหลังคา แต่ตำรวจนายนั้นกลับพลัดร่วงลงพื้นตายคาที่ ทิ้งให้สก็อตตี้ได้แต่ชายตามองในสภาพห้อยต่องแต่งที่หลังคา สร้างบาดแผลทางจิตให้กับเขาจนเกิดภาวะ acrophobia (โรคกลัวความสูง) รวมถึงตื่นกลางดึกฝันเห็นเพื่อนตำรวจที่ตกตึกแล้วเอื้อมมือคว้าไม่ทัน
หลังเหตุการณ์นั้น เขาไม่กล้าขึ้นที่สูง ทุกครั้งที่มองลงมาจะมีอาการวิงเวียน(vertigo) จึงตัดสินใจออกจากตำรวจแล้วก็ไปเป็นนักสืบเอกชน
นี่คือฉากเริ่มต้นของ Vertigo , หนังของฮิตช์คอกที่ผมชอบที่สุด
================
สก็อตตี้ - ชายผู้ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้เลย
================
หลังออกจากตำรวจ สก็อตตี้ก็ได้พบกับแกลวิน เอลสเตอร์ นักธุรกิจใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโกซึ่งร่ำรวยจากธุรกิจต่อเรือที่เขาเข้าไปบริหารรับช่วงมาจากธุรกิจของครอบครัวภรรยาที่ชื่อมาเดเลน มาเดเลนสูญเสียพ่อแม่จึงเป็นผู้สืบทอดธุรกิจและทรัพย์สินมหาศาลเพียงผู้เดียว
แกลวินต้องการให้สก็อตตี้มาช่วยสืบ ‘พฤติกรรมแปลกประหลาดของภรรยา’ เขาเชื่อว่าอาจมีวิญญาณของคนในอดีตมาสิงร่างของเธอ เพราะมาเดเลนเริ่มออกจากบ้านแล้วจำไม่ได้ว่าไปไหนมา จำวันเวลาไม่ได้
เมื่อสก็อตตี้รับงานนี้ เขาสะกดรอยตามมาเดเลนไปพบว่าเธอไปที่สุสานเพื่อเคารพศพที่มีป้ายชื่อว่าคาร์ลอตต้า วาลเดส แล้วพอตามไปที่พิพิธภัณฑ์ก็พบว่ามาเดเลนสวมชุดกับไว้ทรงผมเหมือนหญิงสูงศักดิ์ในภาพวาดที่ชื่อ คาร์ลอตต้า วาลเดสในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมาเดเลนไปนั่งจ้องภาพวาดรูปคาร์ล็อตต้าอยู่นานสองนาน
เขาสืบหาประวัติของคาร์ล็อตต้าจนพบว่าคาร์ล็อตต้าคือตำนานของหญิงสาวที่มีเศรษฐีคนหนึ่งตกหลุมรักแล้วก็ทิ้งเธอไปให้กลายเป็นม่ายในคฤหาสถ์จนค่อยๆเสียสติกลายเป็นคนบ้า ก่อนจะฆ่าตัวตายในท้ายที่สุด
เมื่อเขาไปเล่าให้แกลวินฟัง แกลวินจึงเฉลยว่าเขาแอบรู้อยู่ก่อนแล้วว่าคาร์ล็อตต้าเป็นย่าของมาเดเลนแต่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
ยิ่งสะกดรอยตาม สก๊อตตี้ก็เริ่มหลงใหลมาเดเลนมากขึ้น เขาเริ่มขยับจากการสะกดรอยมาทำความรู้จักกับมาเดเลนในวันที่เธอกระโดดน้ำลงอ่าวซานฟรานซิสโก เขาไปช่วยชีวิตเธอแล้วก็แนะนำตัว
หลังจากนั้นเขาก็อาสาตามมาเดเลนไปในแต่ละแห่ง ความสัมพันธ์เริ่มผูกพันแน่นแฟ้นแต่นั่นก็หมายถึงเขากำลังตกหลุมรักภรรยาของเพื่อน แต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี มาเดเลนก็กระโดดฆ่าตัวตายลงจากหอระฆังในโบสถ์แห่งหนึ่งต่อหน้าต่อตาเขาที่ขึ้นไปช่วยเธอไม่ทันเพราะเกิดอาการวิงเวียนจนขึ้นบันไดไม่ไหว
การไม่สามารถช่วยชีวิตมาเดลีนทำให้เขาแทบเสียสติจนต้องไปพบจิตแพทย์แล้วได้รับคำวินิจฉัย(ตามเกณฑ์ในยุคก่อน)ว่า Acute melancholia guilt complex หรือภาวะซึมเศร้าฉับพลันโดยเกี่ยวข้องกับปมความรู้สึกผิด
และความรู้สึกผิดนั้นก็ชัดเจนว่ามาจากการที่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่เขาคิดว่าน่าจะช่วยได้ ตั้งแต่นายตำรวจที่ยื่นมือหมายคว้าตัวเขาบนหลังคา ก่อนจะมาตอกย้ำให้ยิ่งรู้สึกผิดจากการไม่สามารถช่วยหญิงที่เขาตกหลุมรัก
ทุกอย่างดูจะอธิบายได้ว่า มาเดเลนฆ่าตัวตายจากอาการทางจิตเหมือนกับย่าของเธอ
จนเมื่อหนังเฉลยจุดหักมุม , เราจึงพบว่านี่คือแผนการร้ายอันแยบยลโดยใช้อาการวิงเวียน(vertigo)กลัวที่สูงเป็นเครื่องมือ
แผนการร้ายที่ไม่ใช่แค่ทำให้สก็อตตี้ซึมเศร้าแต่ยังทำลายความรักที่ควรจะงดงามกลายเป็นโศกนาฎกรรม
และมันก็ทำให้หนังเรื่อง Vertigo เป็นหนังที่สนุกอย่างยิ่งเมื่อดูซ้ำในรอบถัดๆไปหลังรู้ความจริง
=======================
มาเดเลน - หญิงสาวกับความลับ
=======================
Vertigo เป็นหนังที่ดูซ้ำแล้วสนุกไม่แพ้รอบแรกครับ เพราะนอกจากการดูซ้ำจะทำให้เห็นเล่ห์กลต่างๆที่อยู่ในรอบแรก เช่น บทสนทนาครั้งแรกของสก๊อตตี้กับแกลวิน ถ้าดูรอบแรกก็อาจคิดว่าเป็นการพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาเพื่อนไม่ได้เจอกันนาน แต่พอรู้แผนร้ายของเกลวิน เราจะเห็นว่าฉากนี้คือฉากล้วงความลับสก็อตตี้ให้เปิดเผย ‘อาการป่วย’ ของตัวเอง เช่น การกลัวที่สูง นำไปสู่แผนการที่เกลวินกำหนดไว้
การดูซ้ำ เราจะพบความเก่งกาจของคิม โนแว็คที่รับบทมาเดเลน
ในรอบแรก คนดูจะยังไม่รู้ความลับว่าตัวละครที่เห็นเป็นมาเดเลน แท้ที่จริงคือ ‘จูดี้สวมรอยมา’
เมื่อดูรอบสองที่เรารู้เฉลยแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าคิม โนแว็คเล่นได้ดีจริงๆ เธอต้องแสดงถึง 3 บทบาท คือ
- (1) ช่วงต้นเรื่องเล่นเป็นมาเดลีนตัวจริงก่อนตายที่ดูสูงศักดิ์ยากเข้าถึง
- (2) ต่อมาเธอเล่นเป็นจูดี้ที่ต้องสวมรอยเป็นมาเดเลน
ซึ่งขั้นตอนนี้ควรจะต้องแค่มาหลอกลวงพระเอกแต่เธอดันหลงรักเขาจริงๆ ซึ่งหากดูรอบแรกเราที่ยังไม่รู้ว่านี่คือ ‘การสวมรอย’ เราก็อาจมองมาเดเลนเหมือนกับที่สก็อตตี้เข้าใจคือเธอดูล่อกแล่ก ดูวิตก คงจะเกี่ยวข้องกับการครอบงำของคาร์ล็อตต้าร่วมกับประวัติป่วยทางจิตของครอบครัวตัวเอง
แต่เมื่อรู้ความจริง อาการวิตกจริตต่างๆของตัวละครนี้สามารถตีความได้ว่าคือ ‘ความรู้สึกผิดและวิตกของจูดี้’
เพราะเธอรู้ดีว่าความรักที่เกิดขึ้นนี้จะต้องจบลงที่ความตายของตัวละครมาเดเลนที่เธอสวมรอย ในตอนท้ายมันจะทำร้ายจิตใจสก็อตตี้และยังไงต้องยุติความสัมพันธ์ หลังจากนั้นเธอจะไม่สามารถกลับมาพบกับสก็อตตี้ได้อีกเพราะความลับที่เธอสมรู้ร่วมคิดในคดีฆาตกรรมมาเดเลนอาจจะถูกเปิดเผย
- (3) และเมื่อมาเดเลนตกจากหลังคาโบสถ์ จากบทหญิงไฮโซ เธอต้องเล่นเป็นจูดี้ บาร์ตั้น-พนักงานห้างสรรพสินค้า ที่บังเอิญสก็อตตี้ตามตัวจนเจอแต่เธอก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา แล้วเมื่อสก็อตตี้พยายามจะชวนเธอไปไหนต่อไหน เธอก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองที่ควรจะห่างจากเขา(เพราะเสี่ยงที่จะโดนจับได้)แต่เธอก็มีใจให้เขามากจนยอมเสี่ยง
และเมื่อเริ่มคบกัน เธอเองก็อยากที่จะเปิดเผยทุกอย่างใจจะขาดเพื่อให้สก็อตตี้จำได้ว่าเธอกับเขาเคยมีความสุขด้วยกัน แต่เพราะกลัวความลับเปิดเผยก็ต้องอยู่กันไปแบบปกปิดสร้างความกระอักกระอ่วนยอมให้สก็อตตี้ควบคุมบงการให้เธอแต่งหน้าแต่งตัวเป็นมาเดลีน
====
จริงๆแล้ว มันควรเป็นเรื่องรักที่สมหวัง
ชายหนุ่มกับหญิงสาวได้กลับมาคบกันหลังแผนร้ายจบลง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะความรักของพระ-นางใน Vertigo เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการหลอกลวง
จูดี้ไม่สามารถเปิดเผยว่าเธอคือใคร ไม่สามารถเปิดเผยว่าเธอคือตัวตนของคนที่สก็อตตี้รักไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกของมาเดเลน นอกจากไม่อาจเปิดเผยยังต้องเก็บความรู้สึกผิดที่แผนการปลอมตัวของเธอ ทำลายจิตใจของสก็อตตี้จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า
ดังนั้นเมื่อเขาจะควบคุมหรือบงการชีวิตของเธอให้เป็นมาเดเลนอย่างไร เธอก็ยินยอมแม้เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อง
เพียงเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมารักเธอจริงๆ
และมันก็คงเป็นการไถ่บาปจากความรู้สึกผิดของตัวเธอ
“คุณจะชอบฉันแบบที่ฉันเป็นไม่ได้เหรอ ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก”
“จำไม่ได้เหรอว่าครั้งแรกเราสนุกกันมาก”
***
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ Vertigo คือการเป็นทั้งรักและหนังลึกลับที่ซับซ้อน ในแง่หนังทริลเลอร์หนังใช้ทริค ‘ตัวแทน’ ในคดีฆาตกรรมได้อย่างแยบยล แต่ในแง่ความรักมันก็มีความสับสนที่น่าสนใจ
นักสืบสก็อตตี้รักใครกันแน่ ?
มาเดเลนตัวจริงที่เขาไม่เคยพูดคุยด้วย
จูดี้ บาร์ตั้นที่สวมรอยเป็นมาเดเลน
===
เพราะถ้าเขารักมาเดเลนตัวจริงก็เป็นรักแรกพบ ตกหลุมรักภายนอกจากบุคลิกรูปร่างหน้าตาเพราะยังไม่เกิดการสานสัมพันธ์ระหว่างกัน ยังไม่เคยสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดหรือความรู้สึกกันเลย มันก็จะเหมือนเวลาเราปลื้มหรือหลงใหลดาราที่เห็นแต่ไม่เคยทำความรู้จักกัน
แต่ในเวลาต่อมาเมื่อสก็อตตี้ได้พูดคุย เมื่อได้ไปเที่ยวด้วยกัน เมื่อได้ปกป้อง เมื่อได้กินอยู่หลับนอนร่วมกัน ก็ปรากฎว่านั่นคือจูดี้ที่อยู่ใน’เปลือกของมาเดเลน’
ซึ่งถ้าสก็อตตี้ตกหลุมรักจากการคบกันก็เท่ากับเขารักตัวตนของจูดี้ ดังนั้นเมื่อเขาพบจูดี้ตัวจริงใน ‘เปลือกของจูดี้’เขาก็น่าจะยังรู้สึกแบบเดิมได้อีก แต่เขากลับยังไม่รู้สึกต่อติดหรือผูกพัน(connect)เหมือนตอนที่เขาตกหลุมรักมาเดเลน
หลังจากรู้จักจูดี้ตัวจริงแล้วขอคบกัน เวลาไปร้านอาหารระหว่างออกเดตกับจูดี้ เขาก็ยังคอยเหลือบมองผู้หญิงในชุดสีเทากับผมบลอนด์แบบเดียวกับมาเดเลนโดยไม่ได้ใส่ใจจูดี้ที่อยู่ตรงหน้า
ซื้อดอกไม้ให้จูดี้ก็ซื้อดอกที่ตัวเองจำได้บนตัวมาเดเลน หรือจะซื้อเสื้อผ้าให้จูดี้ก็จงใจเลือกชุดเดรสสีเทาแบบมาเดเลน
สุดท้ายแม้จูดี้จะยอมทุกอย่างทั้งทำผมหรือแต่งตัวเหมือนมาเดเลน จนสก็อตตี้เหมือนจะกลับมาเป็นคนเดิมแบบที่เธอเปรยว่า “ฉันได้คุณกลับมาแล้วใช่มั้ย?” สก็อตตี้ก็ยังไม่จบแค่นั้น เขายังหลอกพาเธอไปโบสถ์ที่มาเดเลนเสียชีวิตเพราะไม่อาจสลัดความทรงจำในอดีตทิ้ง เขาต้องการจำลองเหตุการณ์เดิมแล้วชดเชยความรู้สึกผิดตัวเองที่แพ้อาการวิงเวียน(vertigo)จนขึ้นไปช่วยมาเดเลนไม่ทัน เขาคิดว่าจูดี้คือผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรมเท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่าเธอนั่นแหละคือคนที่เขาตกหลุมรักจริงๆไม่ใช่มาเดเลนและเธอเองก็รักเขาเช่นกัน
ความหมกมุ่นกับความจริงนำไปสู่จุดจบโศกนาฎกรรมซ้ำสอง เมื่อความผิดในอดีตกลับมาหลอกหลอนจูดี้ในรูปแบบเงามืดของแม่ชีที่เธอคงนึกว่าเป็นวิญญาณที่ตามมาลงโทษเธอ
===
นอกจากชีวิตที่น่าเศร้าของสก็อตตี้กับจูดี้ที่เป็นตัวละครนำแต่ตัวละครสมทบในเรื่องนี้ที่อยู่ในวังวนนี้ก็น่าสงสารไม่แพ้กัน เช่น
มาเดเลน – ถูกฆ่าและช่วงชิงมรดกทุกอย่างไปจากสามีที่เธอวางใจ
มิดจ์ เลขาของสก๊อตตี้ - เธอแอบรักเขา ถึงขนาดพยายามจะแต่งตัวให้เหมือนกับคาร์ล็อตต้า/มาเดเลน หวังว่าเขาจะตกหลุมรักเธอแต่เขาก็ยังไม่แยแส
Vertigo จึงเป็นหนังที่ทั้งโดดเด่นในภาษาภาพยนตร์(ส่วนตัวชอบฉากฝันของสก็อตตี้และฉากตอนมาเดเลนตกจากตึกที่น่าทึ่งมาก)และความซับซ้อนของจิตใจตัวละครที่ไม่เชยเลยแม้จะผ่านมาแล้ว 60 กว่าปี และยังเป็นหนังที่ดูซ้ำก็ยิ่งสนุกมากขึ้นหลังเราเข้าใจภาวะจิตใจตัวละครนำทั้งสองคนจริงๆตั้งแต่ต้นเรื่อง.
#Xspace #movie #FILMBEHINDYOU #i_behind_you #pyschology #ผมอยู่ข้างหลังคุณ #vertigo #american #filmnoir #psychological #thriller #alfredhitchcock #inspiration #แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์
FILM BEHIND YOU คอลัมน์ใหม่ของนักเขียน คอลัมน์นิสต์ และจิตแพทย์ผู้รักการดูหนังและเขียนหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าของเพจดังในชื่อเดียวกับนามปากกา “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ("ผมอยู่ข้างหลังคุณ", [email protected]) อดีตคอลัมนิสต์นิตยสาร FILMAX และเจ้าของผลงานพ็อกเก็ตบุ๊กสุดฮิต “ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”, “ เมื่อฉันลืมตาแล้วโลกเปลี่ยนไป” และ “โลกหมุนรอบกลัว” ติดตามบทความวิเคราะห์เจาะลึกหนังเชิงจิตใจในสไตล์จิตแพทย์คนรักหนัง