ARTWORKS ARTISTS BOOKS EXHIBITION BLOG
INFORM and DELIGHT

Caravaggio จิตรกรชั้นครูยุคโบราณผู้สุดแสนโมเดิร์น

INFORM and DELIGHT

Caravaggio จิตรกรชั้นครูยุคโบราณผู้สุดแสนโมเดิร์น


คาราวัจโจ (Caravaggio) หรือ มิเกลันเจโล เมรีซี ดา คาราวัจโจ (Michelangelo Merisi da Caravaggio) (1571-1610) เป็นจิตรกรชาวอิตาเลียน ผู้ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในกรุงโรม, เนเปิลส์, มอลตา (ประเทศมอลตาในปัจจุบัน) และซิซิลี (แคว้นปกครองตนเองซิซิลีในปัจจุบัน) ในช่วงปี 1590s ถึง 1610

ภาพวาดของเขามักเป็นการผสมผสานการสำรวจสภาวะความเป็นมนุษย์ทั้งทางร่างกาย และอารมณ์ความรู้สึก เข้ากับการใช้แสงเงาจัดจ้าน ที่ถือได้ว่าเป็นต้นธารของงานจิตรกรรมยุคบาโร้ก* คนสำคัญที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

เกิดที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ คาราวัจโจ ในปี 1571 ช่วงวัยเยาว์เขาผ่านการฝึกงานกับ ซิโมเน เปเตอร์ซาโน (Simone Peterzano) และจิตรกรเอกในยุคนั้นอย่าง ทิเชียน (Titian) เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม เขาเดินทางอย่างมุ่งมั่นเพื่อแสวงหาชื่อเสียงในฐานะศิลปินที่กรุงโรม

คาราวัจโจเป็นจิตรกรที่สร้างสรรค์ผลงานภาพวาดอันล้ำยุคสมัย เป็นผู้ปฏิวัติและล้มล้างแนวคิดเดิมๆ ของจิตรกรในยุคนั้นอย่างสิ้นเชิง เขาบุกเบิกการการทำงานจิตรกรรมด้วยภาพลักษณ์ ไปจนถึงทัศนคติแบบสมัยใหม่อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน จนถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในจิตรกรชั้นครูในยุคโบราณที่สุดแสนจะ ‘โมเดิร์น’ จวบจนทุกวันนี้

ดังเช่นในภาพวาด Judith Beheading Holofernes (1598) ที่เป็นเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิ้ลของ จูดิธ วีรสตรีชาวยิวที่ลอบเข้าไปตัดหัว โฮโลเฟอร์เนส แม่ทัพชาวบาบิโลนถึงที่นอน องค์ประกอบในการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาอันสมจริง บรรยากาศอันรุนแรงและเหี้ยมโหด ความสยดสยองที่ถ่ายทอดออกมาในภาพเขียนแบบนี้นี่เอง ที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นอย่างหาใครเสมอเหมือนของคาราวัจโจ

คาราวัจโจมักจะวาดภาพจากแบบโดยตรง ไม่มีการร่างภาพ เพราะเขาต้องการสำรวจบุคคลเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด และถ่ายทอดออกมาด้วยการใช้แสงอันจัดจ้าน สาดส่องไปยังตัวละครในภาพวาด เพื่อดึงดูดความสนใจ และเปิดเผยรายละเอียดของบุคคลเหล่านั้น โดยขับเน้นให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการใช้เงาอันเข้มข้นหนักหน่วงในที่มืด ซึ่งลักษณะของการใช้แสงเงาที่ตัดและขัดแย้งกันอย่างจัดจ้านรุนแรงนี้เป็นเทคนิคที่มีชื่อเรียกว่า เคียรอสคูโร** นั่นเอง

ถึงแม้คาราวัจโจจะไม่ได้เป็นผู้คิดค้นเทคนิคนี้เป็นคนแรก แต่เขาก็เป็นจิตรกรคนแรกๆ ที่นำเทคนิคนี้มาใช้อย่างโดดเด่น บ่อยครั้ง จนเป็นที่แพร่หลายและกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาไปในที่สุด

ถึงแม้จะมีอายุที่แสนสั้น แต่คาราวัจโจเป็นจิตรกรคนสำคัญที่สุดคนหนึ่ง ผู้เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของงานจิตรกรรมในช่วงปลายยุคแมนเนอร์ริสม์*** และถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกงานจิตกรรมยุคบาโร้ก ถึงแม้เขาจะมีผลงานหลงเหลือมาถึงปัจจุบันเพียงยี่สิบกว่าชิ้น แต่ผลงานของเขาก็ส่งอิทธิพลอย่างมาก ทั้งต่อศิลปินในยุคร่วมสมัยกับเขาและศิลปินรุ่นหลัง และเป็นต้นธารแห่งแรงบันดาลใจให้กับคนทำงานสร้างสรรค์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นศิลปินอิตาเลียนอื่นๆ ที่ลอกเลียนแบบสไตล์ของเขา ไปจนถึงศิลปินต่างประเทศอย่าง เรมบรันต์ และ ดิเอโก เบลาสเกซ ที่ใช้แสงเงาอันจัดจ้านแบบเดียวกับคาราวัจโจ ในผลงานของพวกเขา 

หรือแม้แต่งานศิลปะสมัยใหม่อย่างภาพถ่ายและภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินภาพถ่ายอย่าง เดวิด ลาชาแปลล์ (David LaChapelle) หรือผู้กำกับหนังอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ที่กล่าวว่า ผลงานของพวกเขานั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการสร้างบรรยากาศ และการนำเสนอร่างกายอันไม่สมประกอบในภาพวาด รวมถึงความสามารถในการเล่าจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องราวผ่านภาพภาพเดียวของคาราวัจโจ

ยิ่งไปกว่านั้น หนังชีวประวัติศาสดาของคริสต์ศาสนาอย่าง The Passion of the Christ (2004) ของ เมล กิ๊บสัน ที่เล่าถึงช่วงเวลาสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ก่อนถูกตรึงกางเขน นั้นก็ได้รับอิทธิพลโดยตรงในการถ่ายทำ ทั้งภาพเคลื่อนไหว แสงเงา สีสัน บรรยากาศ และองค์ประกอบศิลป์ทั้งหมดในหนัง มาจากภาพเขียนของคาราวัจโจนั่นเอง

หรือผู้กำกับอาร์ตตัวพ่ออย่าง ดีเรก จาร์แมน เอง ก็เคยทำหนังชีวประวัติของจิตรกรเอกผู้นี้ในหนังอย่าง Caravaggio (1986) ที่ตีความเรื่องราวชีวิตของคาราวัจโจออกมาใหม่ในลีลาร่วมสมัย ด้วยการให้ตัวละครในเรื่องสวมใส่เสื้อผ้าเก๋ไก๋และใช้เครื่องมือเครื่องไม้สมัยใหม่อย่างพิมพ์ดีด ปากคาบบุหรี่ ขี่จักรยาน แถมยังสบถด่ากันด้วยศัพท์แสงของคนในยุคสมัยปัจจุบัน (หมายถึงยุค 1986 น่ะนะ) ได้อย่างเก๋ไก๋เปี่ยมสไตล์ซะจนคว้ารางวัลหมีเงิน (Silver Bear) จากเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน 1986 มาได้นั่นเอง

บาโร้ก* (Baroque) เป็นงานจิตรกรรมในกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะวัฒนธรรมแบบบาโร้กในปลายศตวรรษที่ 16 และช่วงศตวรรษที่ 17 ไปจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 18 โดยถือกำเนิดขึ้นในอิตาลีด้วยความสนับสนุนของชนชั้นปกครองและศาสนจักร ศิลปะบาโร้กมักจะนำเสนอภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ๋ น่าตื่นตาตื่นใจ รุ่มรวยด้วยสีสันและแสงเงาจัดจ้าน เพื่อแสดงออกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการปกครองและศาสนา จุดเด่นของศิลปะบาโร้กมีความแตกต่างจากศิลปะยุคเรอเนสซองส์ที่มักจะเล่าเรื่องราวก่อนที่เหตุการณ์สำคัญจะเกิดขึ้น แต่ศิลปะบาโร้กมักจะเลือกเล่าเรื่องราวในจุดไคลแม็กซ์ ขณะที่เหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้น ในปัจจุบัน ‘บาโร้ก’ มีความหมายถึงความไม่ปกติ ความบิดเบี้ยวเกินพอดี มักใช้ล้อเลียนสิ่งที่มีอาการฟุ้งเฟ้อ หรูหราจนเกินความพอดีนั่นเอง

**เคียรอสคูโร (chiaroscuro) เป็นภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า แสง–เงา เป็นเทคนิคในการใช้แสงเงาอันจัดจ้านและขัดแย้งกันอย่างรุนแรงคล้ายกับฉากบนเวทีละคร ซึ่งช่วยขับเน้นความโดดเด่นและสร้างมิติและความสมจริงให้กับตัวละครในภาพ ซึ่งถูกนำไปใช้ต่อยอดในงานศิลปะสมัยใหม่อย่างภาพถ่ายและภาพยนตร์ในภายหลัง

***แมนเนอร์ริสม์ (Mannerism) หรือ ศิลปะปลายยุคเรอเนสซองส์ เป็นงานศิลปะที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของยุคเฟื่องฟูของเรอเนสซองส์ในช่วงปี 1520s ไปจนถึงช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่ 16 (ปลายยุค 1590s) ในอิตาลี ที่มีลักษณะเด่นในการต่อต้านลักษณะอันกลมกลืนตามธรรมชาติในงานศิลปะของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองอย่าง ดา วินชี และ ราฟาเอล และนำเสนอร่างกายของมนุษย์ที่ถูกบิดผันอย่างประเดิษฐ์ประดอยผิดธรรมชาติ เพื่อนำเสนออารมณ์ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่อลังการ

#Xspace #Caravaggio #Art #Artist #Baroque #chiaroscuro #Mannerism #Inspiration #Painter #Silverbear






More to explore